Fact หลังเกม : 5 เรื่องเด่นที่น่าพูดถึง หลังเรือใบทุบปืนแตก 3-1

Fact หลังเกม : 5 เรื่องเด่นที่น่าพูดถึง หลังเรือใบทุบปืนแตก 3-1
Fact หลังเกม : 5 เรื่องเด่นที่น่าพูดถึง หลังเรือใบทุบปืนแตก 3-1

5 เรื่องเด่นที่น่าถูกพูดถึง จากเกมบิ๊กแมตช์พรีเมียร์ลีก ที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชนะ อาร์เซน่อล 3-1

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แสดงให้เห็นอีกครั้งว่าพวกเขายังดีพอที่จะลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ หลังคืนฟอร์มเก่งกลับมาเปิดบ้านเอาชนะ อาร์เซน่อล ไปแบบสบายๆ 3-1 เมื่อคืนวันอาทิตย์ แม้เกมก่อนหน้านั้น จะบุกแพ้ทีมท้ายตารางอย่าง นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 2-1 ก็ตาม

ผลการแข่งขันที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม นัดล่าสุด นอกจากจะเป็นการกดดันให้จ่าฝูงอย่าง ลิเวอร์พูล ห้ามพลาดในการเยือน เวสต์แฮม ยูไนเต็ด คืนวันจันทร์นี้แล้ว ยังส่งผลโดยตรงต่อสถานการณ์แย่งท็อปโฟร์

เพราะ อาร์เซน่อล ที่เพิ่งขึ้นอันดับ 4 มาเมื่อกลางสัปดาห์ กลับกลายเป็นว่าต้องร่วงลงมาสู่อันดับ 6 โดน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แซงขึ้นไปอยู่อันดับ 5 เรียบร้อยแล้ว โดยทีมปืนใหญ่ตามหลัง เชลซี อยู่ 3 แต้ม และมีผลต่างประตูได้-เสีย เป็นรองถึง 7 ลูก จากสถานการณ์ล่าสุด

สำหรับเกมใหญ่เมื่อคืนที่ผ่านมา มีอะไรที่น่าพูดถึงบ้าง เราขอสรุป 5 ประเด็นใหญ่ๆ มาฝากกัน…

 

1. แท็กติกสุดล้ำของ “เป๊ป”

จาก 11 ตัวแรกของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จัดลงสนามเมื่อคืนนี้ ถือว่าผิดความคาดหมายมากพอสมควร เพราะมีกองหลังอาชีพลงตัวจริงเพียง 3 คน และปีกที่ฟอร์มกำลังดีอย่าง ลีรอย ซาเน่ หลุดไปนั่งสำรอง

 

หมากที่กุนซือชาวกาตาลันจัดให้ทีมเรือใบสีฟ้ารับมือปืนใหญ่ คือ 3-2-4-1 ใช้ ไคล์ วอล์คเกอร์, นิโกลัส โอตาเมนดี้ และ อายเมอริค ลาป๊อร์กต์ เล่นหลังร่วมกัน และขยับขึ้นมาหน้าแผงแบ็กทรี จะมี แฟร์นันดินโญ่ กับ อิลคาย กุนโดกัน คอยรับบอล เพื่อเชื่อมเกมต่อไปยังตัวทำเกมรุกทั้ง 4 คน ที่สนับสนุน เซร์คิโอ อเกวโร่ ที่ยืนห้อยหน้าเป้าตัวเดียว

แต่ในยามที่ แมนฯ ซิตี้ เสียการครองบอล หรือตกเป็นฝ่ายตั้งรับ แฟร์นันดินโญ่ จะขยับลงต่ำไปเป็นเซนเตอร์แบ็กอีกคน แล้วถ่าง อายเมอริค ลาป๊อร์กต์ ไปยืนแบ็กซ้าย ระบบจะกลายเป็น 4-1-4-1 แทน

การมีกองกลางที่รับส่งบอลได้ดีอยู่ตรงกลางสนามหลายคน ทำให้เจ้าถิ่นครองเกมบุกใส่อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งเกม บวกกับเมื่อคืนนี้ เป็นนัดที่ อาร์เซน่อล ไม่เพรสซิ่งกดดันทีมเรือใบสีฟ้ามากเท่าที่ควร ยิ่งทำให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พับสนามบุกได้ง่ายขึ้นเข้าไปใหญ่

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในครึ่งเวลาหลัง ที่ แมนฯ​ ซิตี้ ได้เปรียบจากการตุนสกอร์นำ แทนที่ อาร์เซน่อล จะบีบสูงเพื่อแก้เกม แต่ก็กลับปล่อยให้คู่แข่งต่อบอลได้แบบง่ายดาย จนทำให้สถิตินับเฉพาะครึ่งหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีโอกาสยิงมากถึง 13 ครั้ง ส่วนทีมปืนใหญ่ไม่ได้ลุ้นแม้แต่ครั้งเดียว

 

2. แฮตทริกของ “เอล กุน” 

เซร์คิโอ อเกวโร่ คือแมตช์วินเนอร์ของเกมอย่างแท้จริง จากการเหมาซัดระยะเผาขนคนเดียว 3 ประตู ทำให้เจ้าตัวกลายเป็นนักเตะคนแรก ที่ทำแฮตทริกได้ถึง 2 ครั้งในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ต่อจากที่ทำได้ในเกมถล่ม ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ 6-1 เมื่อช่วงต้นซีซั่น

แม้ประตูที่ 3 ของดาวยิงอาร์เจนไตน์จะดูเหมือนเป็นจังหวะแฮนด์บอล เพราะลูกผ่านจาก ราฮีม สเตอร์ลิง มาโดนแขนของเขาก่อนจะกลิ้งเข้าประตู แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า “เอล กุน” มีสัญชาตญาณดาวยิง และหาตำแหน่งจบสกอร์ที่สุดยอดมากๆ ซึ่งนี่คือนัดที่สองติดต่อกัน ที่ อเกวโร่ ใช้เวลาไม่ถึงนาทีในการเบิกสกอร์แรกของเกม

และการที่ยิงได้ถึง 3 ลูกในเกมนี้ ทำให้หัวหอกวัย 30 ปี ทำแฮตทริกในพรีเมียร์ลีกครบ 10 ครั้ง เรียบร้อยแล้ว และขาดอีกเพียงครั้งเดียว ก็จะทาบสถิติของ อลัน เชียเรอร์ ในการเป็นผู้เล่นที่ทำแฮตทริกในพรีเมียร์ลีกมากที่สุด (11 ครั้ง) ด้วย

 

3. เอเมรี่ ยังคงหมางเมิน “โอซิล”

ในเกมที่ อาร์เซน่อล เปิดบ้านชนะ เชลซี 2-0 นั้น เมซุต โอซิล มีชื่อเป็นแค่ตัวสำรอง แต่ไม่ถูกส่งลงเล่นแม้แต่วินาทีเดียว เพราะ อูไน เอเมรี่ ต้องการนักเตะที่บีบเพรสซิ่งได้ดี ในการทำลายเกมแดนกลางของทีมของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ 

แต่สำหรับนัดล่าสุดที่พ่าย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 3-1 แบบสู้ไม่ได้นั้น การที่อดีตจอมทัพทีมชาติเยอรมนี ไม่ถูกส่งลงสนามเลย ทั้งที่ทีมต้องการทางเลือกใหม่ๆ ในการทวงประตูคืน ถือเป็นเรื่องที่ไม่ปกติ

และที่แปลกไปกว่านั้นก็คือ 11 ตัวจริงที่ เอเมรี่ จัดลงสนามเจอทีมเรือใบสีฟ้า ก็ไม่มีชื่อของ อารอน แรมซี่ย์ ด้วยเช่นกัน แม้ดาวเตะทีมชาติเวลส์จะถูกส่งลงสนามแทน อเล็กซ์ อิโวบี้ ในนาที 67 แต่สถานการณ์ตอนนั้นที่ตามหลัง แมนฯ ซิตี้ ห่าง 3-1 และเจ้าบ้านครองเกมแบบสบายใจ ก็ยากที่จะพลิกสถานการณ์ได้

เกมนี้ เดนิส ซัวเรซ กองกลางตัวใหม่ที่เพิ่งยืมตัวมาจาก บาร์เซโลน่า ได้ลงประเดิมสนามให้ เดอะ กันเนอร์ส โดยลงไปแทน เซอัด โคลาซินัช ในนาที 67 เช่นกัน

ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนตัวที่ค่อนข้างขัดใจแฟนบอลพอสมควร เพราะในสถานการณ์ที่ทีมต้องการประตู โอซิล น่าจะเป็นตัวเลือกที่ช่วยทีมได้มากกว่านักเตะที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์กับบอลอังกฤษมาก่อน

 

4. “ลิคท์สไตเนอร์” คือจุดอ่อน

3 ประตูที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้เมื่อคืนนี้ ล้วนมาจากการเปิดบอลจากฝั่งซ้ายทั้งหมด ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ต้องรับผิดชอบกับความผิดพลาดเป็นคนแรก ต้องเป็นตำแหน่งวิงแบ็กขวาอย่าง สเตฟาน ลิคท์สไตเนอร์

จะเห็นได้ชัดว่า กองหลังตัวเก๋าทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ ไม่อาจรับมือกับความคล่องตัวของ ราฮีม สเตอร์ลิง, ดาบิด ซิลบา หรือแม้แต่ อายเมอริค ลาป๊อร์กต์ ได้เลย

สถิติระบุว่า จากทั้งหมด 11 นัด ที่อดีตดาวเตะยูเวนตุสลงเล่นในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ ทีมปืนใหญ่ไม่ชนะถึง 7 นัด (แพ้ไป 4) เปอร์เซ็นต์ชนะมีเพียงแค่ 36%

แต่อีก 14 นัดที่เขาไม่ได้ลงสัมผัสเกม ทีมกลับชนะได้ถึง 9 นัด (เปอร์เซ็นต์ชนะ 64%) จึงน่าจะพอเป็นหลักฐานชัดเจนแล้วว่า ด้วยวัย 35 ปี เขาไม่ดีพอกับการลงเล่นเกมระดับพรีเมียร์ลีกให้ทีมที่ตั้งเป้าไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก เลย

น่าเห็นใจ อูไน เอเมรี่ ที่จำเป็นต้องเข็น ลิคท์สไตเนอร์ ลงตัวจริงในการเจอนักเตะพลิ้วๆ ของคู่แข่งหลายคนอย่างเกมนี้ เพราะ เอคตอร์ เบเยริน ยังต้องพักยาว ส่วน ไอน์สลี่ย์ ไมต์แลนด์-ไนล์ส ก็ยังไม่ฟิตสมบูรณ์

 

5. ทั้ง 2 ทีม จะอยู่อันดับไหนดี เมื่อจบซีซั่น?

การที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ขยับทำแต้มไล่จี้จ่าฝูงอย่าง ลิเวอร์พูล เหลือแค่ 2 แต้ม ก่อนทีมหงส์แดงบุกเยือน เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ในคืนวันจันทร์ ทำให้แฟนเรือใบสีฟ้าเริ่มคาดหวังถึงการทวงตำแหน่งจ่าฝูงคืนมาอีกครั้งได้อย่างเต็มตัว

เพราะหากทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่สามารถคว้า 3 แต้มกลับออกมาจากเกมเยือนทีมขุนค้อน แมนฯ ซิตี้ เตรียมแซงขึ้นแท่นจ่าฝูงแทนทันที ถ้าวันพุธนี้ บุกชนะ เอฟเวอร์ตัน ได้อีก

หากเป็นเช่นนั้น ความมั่นใจของทีมแชมป์เก่าที่จะป้องกันแชมป์ไว้อีกสมัยจะยิ่งมากขึ้นอีกเยอะ และจะทำให้ทีมหงส์แดงยิ่งกดดันมากขึ้นแน่ ในช่วงที่เหลือของซีซั่น

ทางด้าน อาร์เซน่อล ที่ร่วงลงมาอยู่อันดับ 6 ยังคงมีลุ้นกับการติดท็อปโฟร์ เพราะช่องว่างที่ตาม เชลซี ห่างแค่ 3 แต้ม ก็ยังถือว่าไม่มาก แต่ต้องยอมรับว่า ด้วยฟอร์มตอนนี้ และปัญหานักเตะบาดเจ็บรบกวนมากมาย ถือว่าทีมปืนใหญ่ต้องลุ้นหนักมาก ในการทำอันดับกลับไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกครั้ง

โปรแกรม 3 นัดข้างหน้า ทีมปืนใหญ่เจองานไม่ยาก (เยือน ฮัดเดอร์สฟิลด์ ต่อด้วยเล่นในบ้าน 2 เกมติดพบ เซาธ์แฮมป์ตัน และ บอร์นมัธ) ซึ่ง อูไน เอเมรี่ ห้ามทำ 3 คะแนนหล่นอีกแล้ว

เพราะทันทีที่เข้าเดือนมีนาคม อาร์เซน่อล จะต้องเจองานหนักอีกถึง 2 นัดติด โดยต้องบุกเยือน ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ และเปิดบ้านพบ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หากฟอร์มยังไม่กระเตื้อง และยังคงเล่นได้แย่ในการเจอทีมใหญ่ มีโอกาสสูงมากที่พวกเขาจะได้แค่ไปเล่น ยูโรปา ลีก อีกปี