Fact หลังเกม : 5 ประเด็นที่น่าพูดถึง จากเกมผีแดงเจ๊าเชลซี 1-1

Fact หลังเกม : 5 ประเด็นที่น่าพูดถึง จากเกมผีแดงเจ๊าเชลซี 1-1
Fact หลังเกม : 5 ประเด็นที่น่าพูดถึง จากเกมผีแดงเจ๊าเชลซี 1-1

5 ประเด็นที่น่าถูกพูดถึงจากเกมบิ๊กแมตช์พรีเมียร์ลีก นัดที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เสมอกับ เชลซี 1-1

น่าแปลกดีที่สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นอีกครั้งที่บรรดาทีมลุ้นท็อปโฟร์ทั้ง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์, เชลซี, อาร์เซน่อล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่างพากันไม่ชนะกันหมด

สเปอร์ส พลาดท่าโดน เวสต์แฮม ยูไนเต็ด บุกอัดคาบ้าน 0-1 ขณะที่ อาร์เซน่อล อาการหนักกว่าใคร แพ้ในลีกเป็นนัดที่ 3 ติดต่อกัน หลังออกไปโดน เลสเตอร์ ซิตี้ ยำใหญ่ 3-0

นั่นทำให้เกมระหว่าง แมนฯ ยูไนเต็ด พบ เชลซี เมื่อคืนนี้ สำคัญอย่างยิ่งต่อการลุ้นอันดับ 4 ซึ่งหากใครชนะได้ ถือว่ามีโอกาสสดใสทีเดียว ที่จะได้ไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์​ ลีก

ทว่าผลการแข่งขันดันออกมาด้วยผลเสมอ 1-1 ซะอย่างนั้น ทำให้มีหลายประเด็นที่แฟนบอลวิพากษ์วิจารณ์กัน เพราะทั้งแฟน แมนฯ ยูไนเต็ด และ เชลซี ก็ดูจะไม่ค่อยพอใจนัก กับการที่ทีมรักได้แค่แต้มเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางฝั่งผีแดง ที่สถานการณ์แย่กว่าทีมอื่น

และนี่คือ 5 เรื่องเด่นจากเกมที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อคืน ที่แฟนบอลจะต้องเอามาพูดถึงกันอย่างแน่นอน…

1. เด เคอา กลายเป็นจอมเฟอะฟะ

ดาบิด เด เคอา ก่อความผิดพลาดให้เห็นอีกครั้ง และต้องรับผิดไปเต็มๆ จากการปล่อยให้ เชลซี ตามตีเสมอ เมื่อเขารับลูกยิงไกลของ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ พลาด เปิดโอกาสให้ มาร์กอส อลอนโซ่ ปรี่เข้าซ้ำง่ายๆ ในช่วงท้ายครึ่งแรก

ถึงตอนนี้ เด เคอา ไม่สามารถเก็บคลีนชีตให้ แมนฯ ยูไนเต็ด มานานถึง 12 นัดติดต่อกันรวมทุกรายการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 4 เกมหลังสุด ที่โดนส่องตาข่ายรวมกันถึง 10 ประตู เขาก่อความผิดพลาดโดยตรงถึง 3 ลูก

นายด่านทีมชาติสเปน ปล่อยให้ลูกล้มตัวยิงแป้กของ ลิโอเนล เมสซี่ ลอดตัวเขาเข้าไปแบบเหลือเชื่อในศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก และก่อนที่จะซองแตกกับ เชลซี ในเกมล่าสุด เขาก็เพิ่งยืนตำแหน่งพลาด ปล่อยให้ลูกยิงของ ลีรอย ซาเน่ เสียบเสาเข้าไปง่ายๆ ในศึก แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ มาแล้ว

สถิติที่น่าอับอายก็คือ แมนฯ ยูไนเต็ด กลายเป็นทีมที่เก็บคลีนชีตในบ้านตัวเองได้น้อยที่สุดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ (2 ครั้ง) ซึ่งขนาดทีมที่ตกชั้นไปแล้วอย่าง ฟูแล่ม และ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ยังจะทำได้มากกว่าด้วยซ้ำ!!

 

2. “มาต้า” โชว์ทีเด็ดหลังได้ลงตัวจริง

3 นัดก่อนหน้านี้ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แพ้ให้กับ บาร์เซโลน่า, เอฟเวอร์ตัน และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แบบไร้ทางสู้ ล้วนเป็นเกมที่ ฆวน มาต้า ไม่ได้ลงเล่นแม้แต่นาทีเดียว

แต่สำหรับเมื่อคืนนี้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์​ ตัดสินใจให้โอกาสตัวรุกสแปนิชออกสตาร์ทเจอทีมเก่า ในบทบาท “จอมทัพ” หลังคู่กองหน้า มาร์คัส แรชฟอร์ด และ โรเมลู ลูกากู

มาต้า ไม่ทำให้โค้ชและแฟนบอลผิดหวัง เมื่อเป็นคนซัดประตูออกนำอย่างรวดเร็ว ซึ่งถือเป็นการยิงได้ในวันเกิดครบรอบ 31 ปีของเจ้าตัวเองด้วย แถมยังเป็นการยิงใส่ เชลซี ครั้งแรก นับตั้งแต่ย้ายมาร่วมทีมปีศาจแดง เมื่อเดือนมกราคม 2014

นอกจากทำประตูได้แล้ว อดีตสตาร์เชลซี ก็เชื่อมเกมรุกให้ทีมได้ลื่นไหลกว่า เจสซี่ ลินการ์ด เป็นไหนๆ แถมยังโชว์ความขยัน วิ่งเป็นระยะทางรวมกันถึง 10.2 กิโลเมตร ในเกมนัดล่าสุดด้วย

 

3. “อิกวาอิน” ไร้ประโยชน์

ถ้าหาก ดาบิด เด เคอา คือคนที่น่าผิดหวังที่สุดของฝั่ง แมนฯ ยูไนเต็ด ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า กอนซาโล่ อิกวาอิน คือผู้เล่นที่โชว์ฟอร์มย่ำแย่ที่สุดของ เชลซี เมื่อคืนนี้

ดาวยิงอาร์เจนไตน์ เงียบสนิทตลอด 90 นาทีที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด โดยเป็นนักเตะเพียงคนเดียวของทีมเยือนที่ถูกจับล้ำหน้า (5 ครั้ง) 

แต่สถิติการถูกจับล้ำหน้าของ อิกวาอิน คนเดียว เท่ากับจำนวนการโดนยกธงของนักเตะ แมนฯ ยูไนเต็ด ทั้งทีม!!

ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ อดีตกองหน้ายูเวนตุส อุตส่าห์หลุดกับดักล้ำหน้าได้แล้ว แต่กลับยิงเบาไปโดน ดาบิด เด เคอา ปัดออกหลังง่ายๆ แบบเสียของ

และก็คงต้องมีคำถามเกิดขึ้นต่อเนื่องแน่ ว่าช่วงโปรแกรมที่เหลือนี้ เขายังสมควรได้โอกาสลงตัวจริงอีกหรือเปล่า เพราะ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ หรือแม้แต่ เอแด็น อาซาร์ ที่บางทีได้รับบท “ฟอลส์ ไนน์”​ ยังอาจเล่นได้ดีกว่าด้วยซ้ำ

 

4. อาการบาดเจ็บ เล่นงาน 2 ทีมไม่เลิก

เอริก ไบยี่ เพิ่งได้โอกาสกลับมาเป็นตัวจริงให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเกมลีกเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 เดือน

แต่เจ้าตัวดันโชคร้าย เล่นได้แค่ 71 นาที ก็ต้องโดนหามออกไปให้ มาร์กอส โรโฮ ลงไปแทน เพราะบาดเจ็บเข่าจากการปะทะกับ มาเตโอ โควาซิช และล่าสุด มีการยืนยันแล้วว่า ไบยี่ จะพลาดลงเล่นทั้ง 2 นัดที่เหลือของฤดูกาลแน่นอนแล้ว

นอกจากกองหลังโกตดิวัวร์แล้ว มาร์คัส แรชฟอร์ด ก็เป็นอีกคน ที่ต้องโดนถอดออกเพราะมีอาการบาดเจ็บ และ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ก็ต้องลุ้นอีกครั้ง ว่ากองหน้าคู่บุญของตัวเองรายนี้ จะเจ็บนานแค่ไหน

ขณะที่ เชลซี ก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน เมื่อ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ที่เพิ่งฟิตกลับมาลงตัวจริง และมีส่วนต่อการช่วยให้ทีมได้ประตู กลับเจ็บซ้ำอีกครั้ง และต้องโดนถอดออกไป

ถือเป็นสถานการณ์ที่ไม่ดีอย่างแท้จริงๆ สำหรับทีมสิงโตน้ำเงินคราม เพราะนอกจากจะต้องลุ้นอันดับ 4 แล้ว พวกเขายังมีภารกิจหนักในศึก ยูโรปา ลีก ด้วย

 

5. การลุ้นที่ 4 ของทั้งสองทีม

จากการที่ทั้ง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ และ อาร์เซน่อล ต่างสะดุดแพ้กันทั้งคู่ในนัดล่าสุด ทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคงมีลุ้นจบฤดูกาลในอันดับ 4 ต่อไปในทางทฤษฎี เพราะตามหลัง เชลซี เพียงแค่ 3 แต้ม และตามหลัง อาร์เซน่อล แค่คะแนนเดียวเท่านั้น

แต่ในทางปฏิบัติ ถือว่าลุ้นยากมาก เพราะถ้าหาก เชลซี และ อาร์เซน่อล ไม่พลาดอีก แมนฯ ยูไนเต็ด จะต้องรับสภาพ จบฤดูกาลในอันดับ 6 อย่างแน่นอน

แม้ทีมปีศาจแดงจะมีงานง่ายกว่าใครเพื่อนในช่วง 2 นัดท้าย (เยือน ฮัดเดอร์สฟิลด์ ต่อด้วย เปิดบ้านเจอ คาร์ดิฟฟ์) แต่คงยากที่คู่แข่งจะพลาดทำแต้มหล่นเรี่ยราดให้อีก หลังจากให้โอกาสมาเยอะแล้ว



สำหรับช่วงต่อจากนี้ เชลซี เป็นฝ่ายกุมชะตาลุ้นอันดับ 4 ไว้ในมือตัวเอง เพราะถ้าชนะ 2 นัดท้าย ก็จะจบซีซั่นในอันดับท็อปโฟร์แน่นอน โดยไม่ต้องไปแช่งใคร

ทีมสิงห์บลูส์เจองานไม่ยากแต่ก็ไม่ได้สบายนัก เพราะจะได้เปิดบ้านพบ วัตฟอร์ด ตามด้วยบุกเยือน เลสเตอร์ ซึ่งทั้งสองทีมถือเป็นทีมที่อยู่ในกลุ่มครึ่งบนของตารางทั้งคู่

ส่วน อาร์เซน่อล ถือว่าโปรแกรมง่ายกว่า เพราะ 2 นัดท้ายคือการเจอทีมโซนท้ายตาราง คือการเปิดบ้านเจอ ไบรท์ตัน ที่น่าจะรอดตกชั้น ต่อด้วยเยือน เบิร์นลี่ย์ ที่ไม่ต้องลุ้นอะไรแล้ว

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญที่ต้องไม่ลืมก็คือ ทั้ง เชลซี และ อาร์เซน่อล ยังต้องเน้นกับศึก ยูโรปา ลีก รอบรองชนะเลิศทั้ง 2 นัด นั่นอาจส่งผลกับสมาธิ และสภาพร่างกายในการลงเตะเกมลีก ซึ่งอาจจะกลายเป็นผลดีต่อทีมปีศาจแดงก็ได้

inbizth รับทำเว็บ e-commerce