Fact หลังเกม : 5 เรื่องเด่นน่าพูดถึง จากเกมเสือใต้ยำโหดเสือเหลือง 5-0

Fact หลังเกม : 5 เรื่องเด่นน่าพูดถึง จากเกมเสือใต้ยำโหดเสือเหลือง 5-0
Fact หลังเกม : 5 เรื่องเด่นน่าพูดถึง จากเกมเสือใต้ยำโหดเสือเหลือง 5-0

5 เรื่องเด่นที่น่าพูดถึง จากบิ๊กแมตช์บุนเดสลีกา นัดที่ บาเยิร์น มิวนิค ถล่ม โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 5-0

บาเยิร์น มิวนิค กลับมากุมสถานการณ์ได้เปรียบในการลุ้นแชมป์บุนเดสลีกาฤดูกาลนี้อีกครั้ง หลังจากระเบิดฟอร์มสุดยอด เปิดบ้านถล่ม โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ แบบหมดสภาพ 5-0 ในเกม “แดร์ คลาสสิเกอร์” เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา

ทีมเสือใต้เป็นฝ่ายครองเกมเหนือกว่าตั้งแต่ต้นจนจบเกม และจากผลการแข่งขันนัดนี้ ทำให้ บาเยิร์น แซง ดอร์ทมุนด์ กลับมานำจ่าฝูงอีกครั้ง โดยทำแต้มนำทีมเสือเหลือง 1 แต้ม ก่อนเข้าช่วง 6 นัดสุดท้าย

ด้วยความที่เป็นเกมที่สำคัญที่สุดของฤดูกาล สำหรับลีกสูงสุดเมืองเบียร์ เราจึงขอคัด 5 ประเด็นเด่นที่น่าพูดถึงมากๆ จากเกมนี้มาฝากกัน

 

1. เล่นบ้านเสือใต้ เสือเหลืองสู้ไม่ได้เลย

นี่คือฤดูกาลที่ 4 ติดต่อกัน ที่ บาเยิร์น มิวนิค สามารถเปิดบ้านชนะ ดอร์ทมุนด์ ในบุนเดสลีกา ด้วยการยิงได้ไม่ต่ำกว่า 4 ประตู

โดยหากนับสกอร์รวมของการเจอกันในลีกที่ อัลลิอันซ์ อารีน่า 4 ครั้งหลัง ทีมเสือใต้ยิงไปถึง 20 ประตู ส่วนทีมเสือเหลืองยิงคืนได้แค่ 2 ประตู เท่านั้น

“แดร์ คลาสสิเกอร์” ที่บ้าน บาเยิร์น 4 นัดหลัง
2015-16 5-1
2016-17 4-1
2017-18 6-0
2018-19 5-0

สำหรับเกมเมื่อคืนที่ผ่านมา นอกจากสกอร์ที่ออกมาขาดลอยแล้ว บาเยิร์น ยังหาโอกาสลุ้นประตูมากกว่ากันเกิน 5 เท่าอีกด้วย (22 ต่อ 4)

 

2. ความเทพของ “เลวานดอฟสกี้”

โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ กลายเป็นตัวแสบของทีมเก่าอีกครั้ง เมื่อเหมาคนเดียว 2 ลูกในเกมล่าสุด ทำให้เขากลายเป็นนักเตะคนแรกในประวัติศาสตร์บุนเดสลีกา ที่ยิงประตูใส่อดีตต้นสังกัดได้ 5 นัดติดต่อกัน พร้อมกับเป็นผู้เล่นคนแรกในลีกเยอรมันซีซั่นนี้ ที่ยิงเกิน 20 ประตู (ตอนนี้ยิงไปแล้ว 21 ลูก)

ผลงานกดเบิ้ลใส่ ดอร์ทมุนด์ นัดล่าสุด ทำให้ดาวถล่มประตูทีมชาติโปแลนด์ ทำสถิติกลายเป็นนักเตะที่ยิงในศึก “แดร์ คลาสสิเกอร์”​ มากที่สุดในประวัติศาสตร์บุนเดสลีกาเรียบร้อยแล้ว (15 ประตู) โดย 14 ประตูเกิดขึ้นกับทีมเสือใต้

นับตั้งแต่ “เลวาน” ย้ายข้ามฟากจาก ดอร์ทมุนด์ มาอยู่กับ บาเยิร์น แบบไม่มีค่าตัวเมื่อปี 2014 เขาทำประตูได้ทุกนัด ที่ทีมเสือใต้เปิดบ้านเจอเสือเหลืองในลีก (ซัดรวมกัน 10 ประตู)

และนี่คือครั้งที่ 4 ติดต่อกันด้วย ที่เขายิงได้อย่างน้อย 2 ประตู ในการพาทีมเปิดบ้านเจอทีมเก่าในบุนเดสลีกา

 

3. ความรั่วของ “ซากาดู”

ประตูที่ทำลายความมั่นใจของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ คงหนีไม่พ้นลูกที่สอง ที่ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ได้ส้มหล่นจากจังหวะจ่ายบอลพลาดแบบไม่น่าให้อภัยของ แดน-อั๊กเซล ซากาดู จนหลุดเดี่ยวไปกระดกบอลข้าม โรมัน เบือร์กี้ แล้วกระโดดยิงตุงตาข่ายง่ายๆ

การตามหลังถึง 2 ลูกในบ้านของคู่แข่งสุดแกร่ง แถมเสียประตูแบบ “ทำตัวเอง” ก็ยิ่งทำให้โอกาสกลับมาสู่เกมได้ แทบไม่มีเหลือ

นอกจาก ซากาดู จะทำผิดพลาดอย่างกับมือสมัครเล่นแล้ว เขายังเป็นจุดอ่อนในเกมรับของทีมอย่างชัดเจน เมื่อไม่สามารถรับมือกับลูกครอสของเจ้าถิ่นได้เลยสักครั้ง แถมยังไม่สามารถดักสกัดบอลของฝั่งตรงข้ามได้เลยสักหนเดียว

สุดท้าย เมื่อทีมต้องตามหลังคู่แข่งห่างถึง 4 ประตูเมื่อจบครึ่งแรก ซากาดู ก็ต้องชดใช้ความผิดพลาด ด้วยการถูกเปลี่ยนตัวออกทันที แล้วให้ ยูเลี่ยน ไวเกิ้ล ลงไปแทน

 

4. แข้งเจ็บเยอะ ทำเสือเหลืองเป๋

ปัญหานักเตะบาดเจ็บหลายคน คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ลูเซียง ฟาฟร์ เทรนเนอร์ชาวสวิสของ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ไม่มีทางเลือกในการแก้เกมมากนัก

ทีมเยือนไม่มีชื่อของนักเตะอะไหล่ชั้นดีถึง 4 คน ประกอบด้วย ปาโก้ อัลกาเซร์, คริสเตียน พูลิซิช, อัชราฟ ฮาคิมี่ และ ราฟาเอล เกร์เรยโร่ ซึ่งต่างมีอาการบาดเจ็บ ไม่พร้อมแม้แต่จะเป็นตัวสำรอง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การไม่มีดาวซัลโวประจำทีมอย่าง อัลกาเซร์ ซึ่งมักเป็นซูเปอร์ซับได้บ่อยๆ ยิ่งทำให้ มาร์โค รอยส์ ต้องแบกความหวังในการทำประตูมากยิ่งขึ้น และเมื่อกัปตันเสือเหลืองเล่นไม่ออก ผลงานของทีมก็แย่อย่างที่เห็น

 

5. การลุ้นแชมป์ยังไม่จบ!!

แม้ว่า โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ จะต้องเสียตำแหน่งจ่าฝูงคืนให้แชมป์เก่า หลังจากโดนถล่มซะยับเยิน แต่ด้วยช่องว่างที่ บาเยิร์น มิวนิค นำแค่ 1 แต้ม ถือว่ายังไม่ห่างเลย และมีโอกาสที่จะแซงกลับไปนำอีกครั้งได้ทุกสัปดาห์

บาเยิร์น ยังมีโปรแกรมยาก ต้องพบกับทีมในกลุ่มลุ้นไปเล่นฟุตบอลยุโรปทั้ง แวร์เดอร์ เบรเมน (เหย้า), แอร์เบ ไลป์ซิก (เยือน) และ ไอน์ทรัคท์​ แฟร้งค์เฟิร์ต (เหย้า) 

ส่วนทีมเสือเหลืองมีงานเบากว่าเล็กน้อย เจอทีมในกลุ่มท็อปซิกซ์แค่ เบรเมน กับ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค เท่านั้น กับอีกเกมที่อาจจะยากอยู่บ้าง คือดาร์บี้แมตช์ที่ต้องเปิดบ้านพบ ชาลเก้ 04 

 

บาเยิร์น มิวนิค แสดงให้เห็นว่า ถึงแม้ปีนี้พวกเขาจะไม่ได้ทิ้งห่างคู่แข่งขาดกระจุยเหมือนหลายปีที่ผ่านมา แต่ก็พร้อมแล้ว ที่จะรักษาถาดแชมป์ให้ได้อีกครั้ง

ส่วน โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ถ้าต้องการหยุดการผูกขาดแชมป์ของคู่ปรับตลอดกาล พวกเขาต้องลืมความผิดหวังจากเกมนี้ และรีบคืนฟอร์มให้ได้โดยด่วน เพราะพวกเขายังไม่ได้หมดหวังแต่อย่างใด

inbizth รับทำเว็บ e-commerce