Fact หลังเกม : 5 ปัจจัย พาเรือใบ Mission Complete อัดหงส์ 2-1

Fact หลังเกม : 5 ปัจจัย พาเรือใบ Mission Complete อัดหงส์ 2-1
Fact หลังเกม : 5 ปัจจัย พาเรือใบ Mission Complete อัดหงส์ 2-1

5 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ แมนฯ ซิตี้ เปิดบ้านเฉือนชนะ ลิเวอร์พูล 2-1 ลดช่องว่างเหลือ 4 แต้มได้สำเร็จ

การลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ กลับมาสนุกสูสีกันอีกครั้ง หลังจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยังไว้ลายแชมป์เก่า เปิดบ้านยัดเยียดความปราชัยนัดแรกให้ ลิเวอร์พูล ได้สำเร็จเมื่อคืนนี้ ทำให้ลดช่องว่างจากที่ตามหลัง 7 แต้ม เหลือ 4 แต้มเท่านั้น

ก่อนหน้านี้ ทีมหงส์แดงโชว์ฟอร์มได้อย่างไร้เทียมทาน ไม่แพ้เลยในเกมลีก 20 นัดแรกของฤดูกาลนี้ ซึ่งเมื่อคืนนี้ ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ มีเปอร์เซ็นต์ครองบอลเหนือกว่าเจ้าพ่อเรื่องครองบอลอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยซ้ำ (50.5% ส่วน แมนฯ ซิตี้ 49.5%)

แต่ 5 ปัจจัยสำคัญต่อไปนี้ ส่งผลให้ชัยชนะตกเป็นของทีมเรือใบสีฟ้าในที่สุด

 

1. “กุน” ถูกโฉลก เจอหงส์ที่ เอติฮัด

เซร์คิโอ อเกวโร่ ซึ่งยิงให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ขึ้นนำก่อนหมดครึ่งแรก มีสถิติ ยิงได้ทุกนัด ถ้าหากพบกับ ลิเวอร์พูล ที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม แม้ตัวเขาจะไม่เคยยิงได้ที่ แอนฟิลด์ เลยก็ตาม

นัดเมื่อคืน ถือเป็นครั้งที่ 7 ที่ดาวยิงทีมชาติอาร์เจนตินา ลงเจอ ลิเวอร์พูล ในเกมลีกที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม และประตูที่ทำได้ ก็ถือเป็นลูกที่ 7 ของเขา ที่ยิงใส่หงส์แดงได้สำเร็จเช่นกัน

2. “แบร์นาร์โด้” สุดตีน!!

ผู้เล่นที่ทำให้ทีมหงส์แดงเจอความลำบากในการเล่นมากที่สุด ได้แก่ แบร์นาร์โด้ ซิลวา ที่ไม่รู้กินอะไรมา ถึงวิ่งพล่านได้ตลอดทั้งเกมแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

แบร์นาร์โด้ ได้ทำลายสถิติเป็นนักเตะที่วิ่งมากที่สุดใน 1 เกมของพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้เรียบร้อยแล้ว ด้วยการวิ่งเป็นระยะทางรวม 13.7 กิโลเมตร ในนัดดับซ่าหงส์แดง แถมยังเป็นผู้เล่นที่เอาบอลกลับมาให้ทีมได้ครอบครองมากที่สุดของเกม (10 ครั้ง) อีกต่างหาก

นอกจากนั้นแล้วประตูปลดล็อคของทีมเรือใบสีฟ้าจาก เซร์คิโอ อเกวโร่ ในช่วงก่อนหมดครึ่งแรก ก็จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย หากไม่มีความขยันและกระชากบอลไปแอสซิสต์ให้จากดาวเตะทีมชาติโปรตุเกสผู้นี้

และเขาคือคนที่เหมาะสมกับตำแหน่ง แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ของเกมมากที่สุด ในสายตาของเรา

 

3. คล็อปป์ ดันไปปรับทีมที่กำลังดีอยู่แล้ว

ถือเป็นเรื่องน่าแปลกใจ และอาจจะชวนให้ “เดอะ ค็อป” หงุดหงิดพอสมควร ที่จู่ๆ เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็เลือกปรับ 11 ตัวจริงที่กำลังเล่นได้ดีถึง 2 ตำแหน่ง ทั้งที่สามารถยึดผู้เล่นชุดเดิมจากเกมถล่ม อาร์เซน่อล 5-1 ได้แบบไร้ปัญหาด้วยซ้ำ

เซอร์ดาน ชากิรี่ กับ ฟาบินโญ่ หลุดไปนั่งสำรอง แล้วเป็น จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กับ เจมส์ มิลเนอร์ ได้ลงแทน ซึ่งนั่นกลับเป็นการตัดสินใจจัดวางแท็กติกที่ผิดพลาด

เมื่อคืนนี้ เฮนเดอร์สัน ไม่สามารถช่วยขับเคลื่อนบอลให้ทีมหงส์แดงไปข้างหน้าได้เลย แถมโดนทั้ง แบร์นาร์โด้ ซิลวา กับ แฟร์นันดินโญ่ บดบังรัศมีเสียมิดตรงกลางสนาม

ซึ่งแฟนหงส์หลายคนก็ยังงงไม่หาย ว่ากุนซือชาวเยอรมันจู่ๆ ไปดร็อป ฟาบินโญ่ ที่กำลังฟอร์มดี แล้วส่งนักเตะที่คิดช้าทำช้าอย่าง “เฮนโด้” ลงเล่นในเกมสำคัญแบบนี้ทำไม

ขณะที่การดร็อปตัวริมเส้นอย่าง ชากิรี่ แล้วไปเติมแดนกลางที่สภาพร่างกายยังไม่เต็มร้อยดีอย่าง มิลเนอร์ ลงสนาม ก็ทำให้เกมรุกของทีมไม่ลื่นไหลเหมือนกับช่วงชนะติดต่อกันหลายนัดก่อนหน้านี้ด้วย

 

4. “ลอฟเรน” บ่อชัดๆ

เดยัน ลอฟเรน ปราการหลังทีมชาติโครเอเชียของ ลิเวอร์พูล ซึ่งเพิ่งออกตัวแรงเมื่อวันอังคารว่า ลิเวอร์พูล พร้อมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกแบบไร้พ่าย กลับกลายเป็นจอมเฟอะฟะเมื่อลงแข่งจริงในเกมสำคัญ เพราะมีส่วนผิดพลาดเห็นๆ กับทั้ง 2 ประตูที่ทีมเสีย

ลูกแรก เหม่อลอยปล่อยให้ เซร์คิโอ อเกวโร่ วิ่งตัดหน้าไปรับบอลจาก แบร์นาร์โด้ ซิลวา ก่อนซัดมุมแคบเข้าไป

ขณะที่ประตูที่ 2 ก็หลุดตำแหน่งซะดื้อๆ วิ่งเข้าพรวดออกมาสกัดบอลจาก ราฮีม สเตอร์ลิง และก็ไม่สำเร็จ กลายเป็นเปิดพื้นที่ให้ ลีรอย ซาเน่ มีเวลาเหลือเฟือก่อนซัดให้เจ้าถิ่นนำอีกครั้ง

ลอฟเรน ที่ตอนนี้ได้ลงตัวจริงคู่กับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ยาวๆ เนื่องจาก โจ โกเมซ กับ โฌแอล มาติป ต่างมีอาการบาดเจ็บ ยังโชว์การเข้าสกัดโฉ่งฉ่างใส่ เซร์คิโอ อเกวโร่ จนโดนใบเหลืองเป็นคนแรกของเกมอีกต่างหาก ถือว่าแทนที่จะช่วยทีม กลับเป็นภาระให้ ฟาน ไดค์ เหนื่อยกว่าเดิมซะอย่างนั้น

 

5. เรือใบดวงเฮงสุดๆ ในครึ่งแรก

ลิเวอร์พูล มีโอกาสเป็นผู้ชนะเกมนี้ไม่ยาก หากทุกอย่างเป็นใจให้ตั้งแต่ครึ่งแรก เพราะว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ รอดพ้นการเสียประตูแบบโชคช่วย และรอดพ้นการเหลือผู้เล่นแค่ 10 คน เพราะผู้ตัดสินใจดีอย่างไม่น่าเชื่อ

นาทีที่ 18 ลิเวอร์พูล น่าจะขึ้นนำสุดๆ เมื่อ ซาดิโอ มาเน่ หลุดเดี่ยวไปยิงผ่าน เอแดร์ซอน โมราเอส ไปแล้วแต่บอลไปชนเสา ซึ่งจังหวะถัดมาที่ จอห์น สโตนส์ เตะเคลียร์ทิ้งก็ไปโดน เอแดร์ซอน เด้งกลับหลังเกือบเข้าประตูตัวเองอีก

ลูกบอลข้ามเส้นไปแล้วเกือบทั้งใบ แต่ว่า สโตนส์ ยังตามไปล้มตัวเตะสกัดทิ้งออกมาทันเวลา ซึ่งถ้าหากช้ากว่านั้นแค่ 1 วินาที ฝ่ายที่ขึ้นนำก่อนคงเป็นหงส์แดงไปแล้ว และรูปเกมก็น่าจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ยิ่งไปกว่านั้น ในนาทีที่ 31 แว็งซ็องต์ ก็องปานี ก็น่าจะโดนใบแดงสุดๆ จากจังหวะเปิดปุ่มเข้าเสียบใส่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่กำลังจะหลุดเดี่ยว ทว่าผู้ตัดสิน แอนโธนี่ เทย์เลอร์ กลับให้แค่ใบเหลืองเท่านั้น

ลองคิดดูว่าถ้าจังหวะนั้น แมนฯ ซิตี้ ต้องเหลือผู้เล่นแค่ 10 คน เชื่อว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จะต้องถอดตัวรุกออก 1 คน เพื่อส่งกองหลังลงไปแทนแน่ แต่เมื่อใบแดงไม่ถูกควักออกมา ทำให้ทีมเรือใบสีฟ้ายังเล่นตามแผนที่วางไว้ได้ต่อไป ก่อนยิงขึ้นนำ และคว้าชัยชนะสำคัญได้สำเร็จ

 

อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูล ยังคงกุมความได้เปรียบในเส้นทางลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้อยู่ เพราะช่องว่าง 4 แต้ม ยังถือว่าต่อให้แพ้อีกนัด ตำแหน่งจ่าฝูงก็ยังไม่หนีไปจากพวกเขา

นอกเสียจาก ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะเสียความมั่นใจเพราะชวดทำสถิติไร้พ่าย แล้วเกิดสะดุดให้เห็นอีกเรื่อยๆ นั่นแหละ ที่จะเป็นโอกาสให้ทีมอื่นได้ลุ้นแซงขึ้นไปบ้าง