Fact หลังเกม : 5 ประเด็นน่าพูดถึง หลังผีฟอร์มแรง บุกถีบปืนใหญ่ ร่วง เอฟเอ คัพ

Fact หลังเกม : 5 ประเด็นน่าพูดถึง หลังผีฟอร์มแรง บุกถีบปืนใหญ่ ร่วง เอฟเอ คัพ
Fact หลังเกม : 5 ประเด็นน่าพูดถึง หลังผีฟอร์มแรง บุกถีบปืนใหญ่ ร่วง เอฟเอ คัพ

5 ประเด็นสำคัญจากเกมบิ๊กแมตช์ เอฟเอ คัพ ที่ อาร์เซน่อล แพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-3

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังเดินหน้าทำผลงานร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การคุมทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ เมื่อบุกชนะ อาร์เซน่อล ถึงถิ่น 3-1 ลิ่วเข้าสู่รอบ 5 ของศึก เอฟเอ คัพ พร้อมกับคว้าชัยชนะ 8 นัดติดต่อกัน รวมทุกรายการ เข้าไปแล้ว

ด้วยความที่เป็นบิ๊กแมตช์ระหว่าง 2 ทีมที่มีแฟนบอลติดตามจำนวนมาก จึงมีหลายประเด็นจากเกมที่น่าสนใจมาพูดถึงกัน

และนี่คือ 5 เรื่องสำคัญจากเกมที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เมื่อคืนนี้ที่เราสรุปมาฝากกัน…

1. “อเล็กซิส” ซัดทีมเก่า

นี่คือการลงสนามที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ของ อเล็กซิส ซานเชซ ในฐานะคู่แข่งของ อาร์เซน่อล เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยแลกตัวกับ เฮนริค มคิทาร์ยาน เมื่อเดือนมกราคมปีที่แล้ว

เขาโดนแฟนทีมปืนใหญ่โห่ใส่ทุกครั้งที่ได้สัมผัสบอล แสดงให้เห็นชัดเจนว่า “เดอะ กันเนอร์ส” เกลียดชังผีแดงขนาดไหน

อย่างไรก็ตาม เด็กผีทุกหมู่เหล่าได้สะใจกันสุดๆ เมื่อผู้ทำประตูแรกของเกมคือสตาร์ทีมชาติชิลีรายนี้

โดยเจ้าตัวไม่ได้แสดงอาการสะใจอะไรมากมายนัก ในการกลับมาทำประตูได้เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 3 เดือนก็ตาม หลังจากไม่ได้ฉลองประตูอีกเลย นับตั้งแต่โขกประตูชัยดับ นิวคาสเซิ่ล 3-2 ช่วงต้นเดือนตุลาคมปีก่อน

 

2. วิกฤติแข้งเจ็บ เล่นงานปืนใหญ่ไม่เลิก

อาร์เซน่อล ต้องโชคร้ายสุดๆ เมื่อคู่เซนเตอร์แบ็กที่ลงตัวจริงในเกมนี้ทั้ง โซคราติส ปาปาสตาโธปูลอส และ ชโคดราน มุสตาฟี่ เกิดเจ็บระหว่างเกมจนเล่นต่อไม่ไหว ต้องโดนเปลี่ยนตัวออกจากสนามไปทั้งคู่

โซคราติส เจ็บข้อเท้าจนเดินกะเผลกออกจากสนามตั้งแต่กลางครึ่งแรก ขณะที่กลางครึ่งหลัง กอสซิแอลนี่ ก็เจออุบัติเหตุ โดนปุ่มสตั๊ดของ โรเมลู ลูกากู เหยียบใส่ใบหน้าจนเลือดอาบ ต้องปฐมพยาบาลอยู่นาน และเล่นต่อไม่ไหวอีกคน

การที่ อูไน เอเมรี่ ต้องใช้โควตาเปลี่ยนตัวถึง 2 คนเพราะกองหลังเจ็บ ทำให้ทีมปืนใหญ่เหลือทางเลือกแก้เกมจำกัดสุดๆ ในสถานการณ์ที่ตามหลัง

นอกจากปัญหากองหลังเจ็บกันเพียบ เพราะก่อนหน้านี้ เอคตอร์ เบเยริน และ ร็อบ โฮลดิ้ง ต้องพักยาวไปก่อนแล้ว ตัวเลือกในแนวรุกอย่าง เฮนริค มคิทาร์ยาน และ แดนนี่ เวลเบ็ค ก็ยังไม่พร้อมลงสนามเช่นกัน

ดูเหมือนว่า บอร์ดบริหารของ อาร์เซน่อล จำเป็นต้องเดินเรื่องเสริมนักเตะใหม่เข้ามาเพิ่มโดยด่วนแล้ว ก่อนที่ตลาดซื้อขายนักเตะจะปิดลงสิ้นเดือนนี้ ไม่อย่างนั้น โอกาสที่ทีมปืนใหญ่จะจบฤดูกาลแบบมือเปล่า และพลาดไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีก จะมีสูงมากๆ

 

3. แนวรุกผีจัดจ้านสุดๆ

แท็กติกของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ที่ใช้ เจสซี่ ลินการ์ด เป็นตัวเชื่อมเกมระหว่างกลางไปหน้า ส่วนแดนบนสุดใช้หัวหอกสองคนยืนฉีกออกด้านกว้าง เพื่อสร้างพื้นที่ในเกมรุกให้มากขึ้น โดยใช้การผ่านบอลไม่กี่จังหวะก่อนจะจบสกอร์ นำมาสู่เกมบุกอันน่าตื่นตาตื่นใจของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

โรเมลู ลูกากู แม้ไม่มีประตูในเกมนี้ แต่ก็ทำคนเดียว 2 แอสซิสต์ คว้าตำแหน่ง แมน ออฟ เดอะ แมตช์ หลังจากทำประตูในยุคที่ โซลชาร์ เป็นกุนซือได้แล้ว 3 ลูก ในช่วง 5 นัดก่อนเกมนี้

อเล็กซิส ซานเชซ ที่มักจะโชว์ฟอร์มน่าผิดหวัง ก็มีเกมที่น่าจดจำ เมื่อเป็นคนซัดเบิกร่องใส่ทีมเก่า และสถิติระบุว่า 3 นัดที่สตาร์ทีมชาติชิลีลงสนามภายใต้การคุมทีมของกุนซือชาวนอร์เวย์ เขามีส่วนกับการได้ประตูทุกนัด (ยิง 1 แอสซิสต์ 2)

ลินการ์ด ก็ทำประตูได้ในเกมนี้ แถมประตูสุดท้ายก็ยังมาจากกองหน้าตัวสำรองอย่าง อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล

ต้องไม่ลืมด้วยว่า ช่วงหลังมานี้ มาร์คัส แรชฟอร์ด ก็กำลังท็อปฟอร์ม ทำประตูในพรีเมียร์ลีกมา 4 นัดติดต่อกัน  ถ้าจะบอกว่าแนวรุกทีมปีศาจแดงตอนนี้ พร้อมป่วนแนวรับทุกทีม ก็ไม่ใช่คำพูดที่เกินไปเลย

 

4. “เอเมรี่” ดีแตกซะแล้ว

ช่วงต้นฤดูกาลที่ อาร์เซน่อล ทำสถิติไร้พ่าย 22 นัดติดต่อกันรวมทุกรายการ โดยชนะไปถึง 17 เกม บรรดาแฟนปืนใหญ่ต่างปลื้มกับ อูไน เอเมรี่ กันเป็นแถว และเชื่อมั่นว่ากุนซือชาวสแปนิชผู้นี้ จะสามารถพาปืนใหญ่กลับมาท้าชิงกับบรรดา “บิ๊ก ซิกซ์”​ ได้อีกครั้งอย่างเต็มตัว

แต่ 10 นัดหลังสุดรวมทุกถ้วย ทีมปืนใหญ่ของ เอเมรี่ พบกับความพ่ายแพ้ถึง 5 นัด คว้าชัยชนะได้เพียง 4 หน และตกรอบบอลถ้วยทั้ง คาราบาว คัพ และ เอฟเอ คัพ กลับทำให้แฟนบอลเริ่มไม่มั่นใจในตัวโค้ชอีกครั้ง เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในช่วงท้ายสมัยที่ อาร์แซน เวนเกอร์ คุมทีม

ในเกมนี้ เอเมรี่ ยังคงเมินใช้งาน เมซุต โอซิล จอมทัพขวัญใจ เดอะ กันเนอร์ส ลงตัวจริง ซึ่งแม้จะเปลี่ยนลงไปในฐานะตัวสำรองในครึ่งหลัง ก็ไม่ได้ใช้งานในตำแหน่งจอมทัพตัวทำเกมรุกที่เจ้าตัวถนัด แต่เน้นให้ยืนปักหลักเชื่อมเกมในแผงมิดฟิลด์แทน

การตัดสินใจแก้เกมของอดีตกุนซือเปแอสเชในเกมนี้ก็ถือว่าไม่เข้าตาอย่างแรง เพราะดันถอดนักเตะที่เล่นได้วูบวาบอย่าง อเล็กซ์ อิโวบี้ ออกจากสนาม ซึ่งหลังจากนั้นเห็นได้ชัดเลยว่า สปีดเกมรุกของทีมปืนใหญ่ลดลง และไม่มีตัวทะลุทะลวงเลย

แม้ อเล็กซองด์ ลากาแซ็ตต์ กับ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง ยังอยู่ในสนามจนจบ 90 นาที แต่เมื่อไม่มีตัวเปิดป้อนโอกาสให้ ก็ไม่มีประโยชน์

ขณะที่การตัดสินใจส่ง มัตเตโอ เกนดูซี่ ลงไปแทน โลร็องต์ กอสซิแอลนี่ ที่บาดเจ็บ ทั้งที่บนม้านั่งสำรองยังมี นาโช่ มอนเรอัล ก็น่าตั้งคำถาม

เพราะเห็นได้ชัดว่า ความเชื่องช้าและไม่ใช่กองหลังอาชีพของ กรานิต ชาก้า ซึ่งถูกถอยจากตรงกลางลงไปยืนเซนเตอร์จำเป็นแทน เปิดช่องให้คู่แข่งโจมตีได้ง่าย

และนั่นคือสาเหตุของการเสียประตูที่ 3 ที่ ปอล ป็อกบา มีพื้นที่เหลือเฟือในการซัดติดเซฟ ปีเตอร์ เช็ก แล้วเป็น อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ที่ซ้ำเข้าไป

 

5. “โซลชาร์” คือของจริง!!

โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ออกสตาร์ทการคุมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยสถิติชนะ 100% ตลอด 8 เกมรวมทุกรายการที่เขาทำหน้าที่กุนซือขัดตาทัพ แถมมีรูปแบบการเล่นที่ดูสนุกซะด้วย

แม้ช่วงแรกๆ อาจโดนครหาว่าเจอโปรแกรมง่าย หรือในเกมยากอย่างนัดบุกชนะ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 1-0 ก็เอาตัวรอดมาได้เพราะฟอร์มเซฟอุตลุดของ ดาบิด เด เคอา 

แต่สำหรับผลงานนัดล่าสุด โซลชาร์ ยังสามารถพาทีมผ่านไปได้อย่างสวยงาม แม้จะโรเตชั่นทีมหลายตำแหน่ง

เซร์คิโอ โรเมโร่ ลงเฝ้าเสาแทน ดาบิด เด เคอา ในแนวรับก็ส่ง เอริก ไบยี่ ที่ซีซั่นนี้ได้ลงสนามน้อยลงตัวจริง ขณะที่แนวรุกก็พักทั้ง มาร์คัส แรชฟอร์ด และ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล เป็นตัวสำรอง แต่ทีมยังเล่นกันแบบมีคุณภาพไม่ตกลงไปเลย

ปอล ป็อกบา ยังคงโชว์ฟอร์มเฉิดฉายในแผงมิดฟิลด์ เมื่อได้รับอิสระในการเล่นเต็มที่จากผู้จัดการทีม ส่วนแนวรับก็ผิดพลาดกันน้อยลงกว่าสมัยที่ โชเซ่ มูรินโญ่ เป็นกุนซือซะอีก

ด้วยฟอร์มและคุณภาพการเล่นของทีมปีศาจแดงตอนนี้ พวกเขาพร้อมเหลือเกินในการแย่งพื้นที่ท็อปโฟร์ในช่วงที่เหลือของฤดูกาล และมีความหวังในการต่อกรกับ เปแอสเช ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

ซึ่งหาก โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ยังเดินหน้าสร้างรอยยิ้มให้แฟนผีแดงได้อีก ตำแหน่งกุนซือถาวรของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เจ้าตัวต้องการ คงไม่หนีไปจากเขาแน่