ได้รางวัลแต่อดแชมป์!! 12 แข้งคว้ารางวัล PFA แต่ดันชวดแชมป์พรีเมียร์

ได้รางวัลแต่อดแชมป์!! 12 แข้งคว้ารางวัล PFA แต่ดันชวดแชมป์พรีเมียร์
ได้รางวัลแต่อดแชมป์!! 12 แข้งคว้ารางวัล PFA แต่ดันชวดแชมป์พรีเมียร์

ได้รางวัลแต่อดแชมป์!! 12 แข้งคว้ารางวัล PFA แต่ดันชวดแชมป์พรีเมียร์

แม้ว่าการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล จะยังไม่จบ และคงต้องขับเคี่ยวกันไปจนถึงนัดสุดท้าย แต่ตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมประจำซีซั่น จากการประกาศรางวัลของ พีเอฟเอ นั้นรู้ผลเรียบร้อยแล้ว

เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ยอดปราการหลังกัปตันทีมชาติเนเธอร์แลนด์ของ ลิเวอร์พูล คือผู้คว้ารางวัลดังกล่าว ซึ่งมาจากการโหวตของบรรดานักเตะอาชีพในอังกฤษ หลังจากเป็นกำลังสำคัญ ที่ทำให้ทีมหงส์แดงมีเกมรับที่เหนียวแน่นที่สุดของลีกในฤดูกาลนี้

อย่างไรก็ตาม มีโอกาสสูงไม่น้อยที่ ฟาน ไดค์ จะต้องอกหัก พลาดหวังแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกกับทีมหงส์แดงในปีนี้ เพราะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยังกุมชะตาตัวเองไว้ในมือ ซึ่งถ้าทีมเรือใบสีฟ้าชนะรวดในอีก 2 นัดที่เหลือ ตำแหน่งแชมป์จะยังคงอยู่ที่แมนเชสเตอร์ต่อไป

ที่ผ่านมา มีหลายคน ที่เป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอ แต่ก็ไม่อาจพาต้นสังกัดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จในปีที่ตัวเองคว้ารางวัล

วันนี้เราจะมาย้อนดูกัน ว่ามีใครบ้าง?

 

พอล แม็คกรัธ (ฤดูกาล 1992-93)

สโมสร : แอสตัน วิลล่า

แชมป์พรีเมียร์ลีก 1992-93 : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

อดีตกองหลังทีมชาติไอร์แลนด์ เป็นนักเตะคนแรกที่คว้ารางวัลนี้ในยุคพรีเมียร์ลีก จากผลงานยอดเยี่ยมกับ แอสตัน วิลล่า ที่เบียดแย่งแชมป์กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้อย่างสูสี

ทว่าความสูสีมาพังเอาดื้อๆ ในช่วง 6 นัดสุดท้ายของฤดูกาล เมื่อ วิลล่า ทำแต้มร่วงกระจุยกระจายไปถึง 11 แต้ม สวนทางกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ชนะทุกนัด กลายเป็นทีมปีศาจแดงฉลองแชมป์โดยทำคะแนนทิ้งห่างถึง 10 คะแนน

เลส เฟอร์ดินานด์ (ฤดูกาล 1995-96)

สโมสร : นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด

แชมป์พรีเมียร์ลีก 1995-96 : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

อดีตดาวยิงทีมชาติอังกฤษ ทำผลงาน ยิง 25 แอสซิสต์ 6 ในฤดูกาลดังกล่าว และทำท่าว่าจะพา นิวคาสเซิ่ล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้แบบสบายๆ จากแต้มที่ทิ้งห่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กระจุยหลังผ่านช่วงคริสต์มาส

แต่ฟอร์มของทีมสาลิกาดงที่เป๋ดื้อๆ ตั้งแต่เข้าเดือนกุมภาพันธ์ ทำให้โดนทีมปีศาจแดงที่แรงเหลือเกิน ค่อยๆ ลดช่องว่าง จนแซงคว้าแชมป์ไปแบบน่าตกตะลึงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก

อลัน เชียเรอร์ (ฤดูกาล 1996-97)

สโมสร : นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด

แชมป์พรีเมียร์ลีก 1996-97 : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ในปี 1997 “ฮอตชอต” คว้ารางวัลดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกได้ 3 ปีซ้อน จากผลงานยิง 25 ประตู และพา นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด เข้าป้ายอันดับ 2 เป็นซีซั่นที่ 2 ติดต่อกัน

และทีมที่คว้าแชมป์ลีกในปีดังกล่าวก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เจ้าเก่านั่นเอง


ดาวิด ชิโนล่า (ฤดูกาล 1998-99)

แชมป์พรีเมียร์ลีก 1998-99 : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ฤดูกาล 1998-99 สเปอร์ส ไม่มีลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกแม้แต่น้อย แต่ลีลากระชากลากเลื้อย รวมถึงความเป็นสุภาพบุรุษของปีกชาวฝรั่งเศสคนนี้ ได้ใจเพื่อนร่วมอาชีพจนรุมเทคะแนนโหวตให้เต็มๆ

แชมป์ลีกปีดังกล่าวตกเป็นของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อีกครั้ง ซึ่งปีนั้นผีแดงสร้างประวัติศาสตร์ทริปเปิลแชมป์ได้ด้วย

ทว่าหากพิจารณาฟอร์มการเล่นเป็นรายคน แข้งผีแดงไม่มีใครที่เด่นกว่าใครชัดเจนจริงๆ แม้กระทั่ง เดวิด เบ็คแฮม ที่เป็นตัวชูโรง ก็ยังร่ายฟอร์มส่วนตัวออกมาไม่น่าประทับใจเท่ากับ ชิโนล่า ในซีซั่นนั้น

รุด ฟาน นิสเตลรอย (ฤดูกาล 2001-02)

 

แชมป์พรีเมียร์ลีก 2001-02 : อาร์เซน่อล

ย้ายเข้าสู่ถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ล่าช้าไป 1 ปีเพราะปัญหาเจ็บเข่าอย่างรุนแรง แต่ซีซั่นแรกของเขาในพรีเมียร์ลีก ก็ระเบิดฟอร์มถล่มประตูอย่างต่อเนื่อง ซัดไปถึง 23 ประตู ในลีก น้อยกว่าดาวซัลโวอย่าง เธียร์รี่ อองรี แค่ลูกเดียวเท่านั้น

“พี่ม้า” ทำสถิติยิงในลีกได้ 8 นัดติดต่อกัน ในซีซั่นดังกล่าว และพาผีแดงไล่บี้แย่งแชมป์กับ อาร์เซน่อล อย่างเข้มข้น

จนกระทั่ง แมนฯ ยูไนเต็ด มาโดนประตูชัยของ ซิลแว็ง วิลตอร์ จนแพ้คาบ้าน 0-1 ในเกมนัดรองสุดท้ายของฤดูกาลเท่านั้นแหละ ทีมปืนใหญ่จึงเป็นฝ่ายได้ฉลองทันที

 

เธียร์รี่ อองรี (ฤดูกาล 2002-03)

 

แชมป์พรีเมียร์ลีก 2002-03 :

ฤดูกาล 2002-03 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โชว์ความเป็นม้าแรงปลาย แซง อาร์เซน่อล เข้าป้ายแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกครั้ง ส่วนตำแหน่งดาวซัลโวตกเป็นของ รุด ฟาน นิสเตลรอย

แต่ถึงอย่างนั้น ซีซั่นดังกล่าว ผู้เล่นที่โดดเด่นที่สุดคืออดีตดาวยิงทีมชาติฝรั่งเศสคนนี้ หลังมีส่วนกับประตูมากที่สุดในลีก ด้วยการกดไปถึง 24 ประตู และทำสถิติแอสซิสต์ในฤดูกาลเดียวมากที่สุดเป็นประวัติการณ์อีกถึง 20 ลูก

หลังจากนั้นอีก 1 ปี อองรี ก็ได้รางวัลผู้เล่นแห่งปีของพีเอฟเออีกครั้ง แต่ที่ต่างไปก็คือในฤดูกาล 2003-04 เขาพา อาร์เซน่อล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกโดยที่ไม่แพ้ใครเลย

 

สตีเว่น เจอร์ราร์ด (ฤดูกาล 2005-06)

สโมสร : ลิเวอร์พูล

แชมป์พรีเมียร์ลีก 2005-06 :

อดีตกัปตันอมตะแห่งถิ่นแอนฟิลด์ คือกำลังสำคัญที่สุดที่พา ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2005 ตามด้วยถ้วย เอฟเอ คัพ ในปี 2006 แถมทำผลงานยอดเยี่ยมในพรีเมียร์ลีกทั้ง 2 ปีดังกล่าว

ทว่า 2 ปีนั้น แชมป์พรีเมียร์ลีกตกเป็นของ เชลซี ในยุคแรกที่ โชเซ่ มูรินโญ่ คุมทีม และน่าเสียดายที่จวบจนวันที่เขาแขวนสตั๊ด เจอร์ราร์ด ก็ยังไร้แชมป์ลีกติดตัว ทั้งที่รายการอื่นในยุโรปเขาพาหงส์แดงกวาดมาครองหมดแล้ว

เวย์น รูนี่ย์ (ฤดูกาล 2009-10)

สโมสร : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

แชมป์พรีเมียร์ลีก 2009-10 : เชลซี

หลังการย้ายไป เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวสถิติโลกของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในปี 2009 ถือว่าดาวยิงหมูเดือด ยกระดับฝีเท้าขึ้นมาเป็นสตาร์เบอร์หนึ่งของ แมนฯ ยูไนเต็ด อย่างเต็มตัว

ฤดูกาล 2009-10 รูนี่ย์ ยิงในพรีเมียร์ลีกมากถึง 26 ลูก แต่น่าเสียดายที่มาบาดเจ็บข้อเท้าช่วงท้ายซีซั่น จนส่งผลสำคัญให้ทีมปีศาจแดงทำแต้มหล่น และโดน เชลซี ของกุนซือ คาร์โล อันเชลอตติ ปาดหน้าคว้าแชมป์ลีกไปครองแทน ด้วยการมีคะแนนมากกว่าเพียงแต้มเดียว

แกเร็ธ เบล (ฤดูกาล 2010-11 และ 2012-13)

สโมสร : ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์

แชมป์พรีเมียร์ลีกทั้ง 2 ปีที่ เบล คว้ารางวัล : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

จากที่เคยเป็นตัวซวยของ สเปอร์ส ในช่วงแรกๆ ที่ย้ายจาก เซาธ์แฮมป์ตัน ทว่าพอเปลี่ยนตำแหน่งจากฟูลแบ็กขึ้นไปเล่นเป็นปีก สตาร์ทีมชาติเวลส์ก็ค่อยๆ พัฒนาฝีเท้า จนกลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดของพรีเมียร์ลีก

น่าเสียดายที่ผลงานเด่นเกินใครของเขา ไม่เพียงพอให้ทีมไก่เดือยทองลุ้นคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ ก่อนที่ซัมเมอร์ปี 2013 เขากลายเป็นนักเตะค่าตัวแพงที่สุดในโลก ด้วยการย้ายไป เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวกว่า 84 ล้านปอนด์

 

โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ (ฤดูกาล 2011-12)

สโมสร : อาร์เซน่อล

แชมป์พรีเมียร์ลีก 2011-12 : แมนเชสเตอร์ ซิตี้

ฤดูกาล 2011-12 ดาวยิงชาวดัตช์ถูกแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมแทนที่ เชส ฟาเบรกาส ที่ย้ายไป บาร์เซโลน่า ก่อนจะกลายเป็นความหวังสูงสุดสำหรับทัพปืนใหญ่ และยิงไปถึง 30 ประตู จากการลงสนามเกมลีกครบทุกนัด ในซีซั่น 2011-12

ทว่าความเบื่อหน่ายที่ไม่ได้แชมป์อะไรเลยกับ อาร์เซน่อล นานถึง 8 ปี ช่วงซัมเมอร์ปี 2012 จึงตัดสินใจย้ายไปเล่นให้คู่ปรับสำคัญอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด 

“อาร์วีพี” พาผีแดงคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ทันที สั่งลาชีวิตการคุมทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อย่างยิ่งใหญ่ โดยคว้าดาวซัลโวได้เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกันด้วย

เพียงแต่ในปีที่เขาได้แชมป์ลีกอังกฤษครั้งแรกและครั้งเดียว ตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมพีเอฟเอ ตกเป็นของ แกเร็ธ เบล

 

หลุยส์ ซัวเรซ (ฤดูกาล 2013-14)

สโมสร : ลิเวอร์พูล

แชมป์พรีเมียร์ลีก 2013-14 : แมนเชสเตอร์ ซิตี้

ฤดูกาล 2013-14 ลิเวอร์พูล เข้าใกล้กับการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสุดๆ ภายใต้การคุมทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส โดยปีดังกล่าว ซัวเรซ คือพระเอกของทีม ด้วยการยิงไปถึง 31 ประตู มากที่สุดในลีกยุโรปเลยทีเดียว

ทว่าชอตลื่นล้มของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ในเกมแพ้ เชลซี คาบ้าน 0-2 ทำให้ทีมหงส์แดงตกม้าตาย กลายเป็นหยิบยื่นโอกาสทองให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เร่งเครื่องแซงคว้าแชมป์ได้ในโค้งสุดท้าย

และหลังจากที่โดนฟีฟ่าแบนยาวจากวีรกรรมไปกัดไหล่ จอร์โจ้ คิเอลลินี่ ในฟุตบอลโลก 2014 เขาก็โดน บาร์เซโลน่า ทุ่มเงินมหาศาล ล่าตัวไปล่าตาข่ายจนถึงปัจจุบัน

 

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (ฤดูกาล 2017-18)

สโมสร : ลิเวอร์พูล

แชมป์พรีเมียร์ลีก 2017-18 : แมนเชสเตอร์ ซิตี้

ฤดูกาล 2017-18 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วยแต้มสูงสุดแบบที่ไม่มีใครเคยทำได้ ด้วยการกวาดไปถึง 100 แต้ม แถมทุบสถิติสุดยอดทิ้งเป็นว่าเล่น

แต่หากจะหาผู้เล่นที่ฟอร์มส่วนตัวโดดเด่นเกินใคร ไม่มีใครปฏิเสธว่า ต้องเป็น โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ฟอร์มร้อนแรงเหลือหลาย กับการเล่นให้ ลิเวอร์พูล เป็นฤดูกาลแรก

ดาวดังทีมชาติอียิปต์ คว้าตำแหน่งดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกด้วยการยิงไปถึง 32 ประตู ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุด ในยุคที่พรีเมียร์ลีกเล่นกันฤดูกาลละ 38 นัด แถมเจ้าตัวยังทำแอสซิสต์ให้เพื่อนอีก 10 ลูกด้วย

 

ครั้งสุดท้ายที่มีนักเตะคว้ารางวัลยอดแข้งแห่งปีของ พีเอฟเอ และได้แชมป์พรีเมียร์ลีกในปีเดียวกัน คือปี 2017 ที่ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ พา เชลซี คว้าแชมป์

และเราคงต้องลุ้นกันไปจนถึงที่สุด ว่าสุดท้ายแล้ว เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ จะได้รางวัลที่ใหญ่กว่าเกียรติยศส่วนตัว คือการพา ลิเวอร์พูล พลิกสถานการณ์คว้าแชมป์ลีกได้หรือไม่?

 

inbizth รับทำเว็บ e-commerce