Fact หลังเกม : 5 ประเด็นต้องถูกพูดถึง หลังหงส์แดงโชว์เทพ บุกอัดเสือใต้ 3-1

Fact หลังเกม : 5 ประเด็นต้องถูกพูดถึง หลังหงส์แดงโชว์เทพ บุกอัดเสือใต้ 3-1
Fact หลังเกม : 5 ประเด็นต้องถูกพูดถึง หลังหงส์แดงโชว์เทพ บุกอัดเสือใต้ 3-1

5 ประเด็นที่ต้องถูกพูดถึง จากเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ ลิเวอร์พูล บุกชนะ บาเยิร์น มิวนิค 3-1

ลิเวอร์พูล ไม่ทำให้แฟนบอลผิดหวัง เมื่อโชว์ความมหัศจรรย์ บุกไปคว่ำโคตรทีมอันดับหนึ่งแห่งเยอรมันอย่าง บาเยิร์น มิวนิค 3-1 เมื่อคืนนี้ พร้อมกับตบเท้าผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ต่อไป ตามหลังทีมดังร่วมลีกทั้ง สเปอร์ส, แมนฯ ยูไนเต็ด และ แมนฯ ซิตี้ ที่เข้ารอบไปก่อนหน้านี้

จากการที่เกมเลกแรกที่แอนฟิลด์ เสมอกันมา 0-0 ทำให้ภารกิจเยือนมิวนิคของทีมหงส์แดงคืองานที่ยากที่สุดนัดหนึ่งของฤดูกาล เพราะ บาเยิร์น กำลังทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในลีก จนแซงหน้า โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ขึ้นมารั้งจ่าฝูงบุนเดสลีกา แถมทีมเสือใต้ ยังไม่แพ้ให้ทีมจากอังกฤษคาบ้านตัวเองมา 5 นัดติดต่อกันอีกต่างหาก

แต่กลายเป็นว่า ประตูออกนำอย่างรวดเร็วจาก ซาดิโอ มาเน่ ทำให้ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เล่นกันได้แบบไม่กดดันในช่วงที่เหลือ เพราะได้ “อเวย์โกล” ที่ต้องการ แม้จะโดนตีเสมอในครึ่งแรก แต่การที่กุมความได้เปรียบจากกฎประตูทีมเยือน ทำให้ ลิเวอร์พูล ฉวยโอกาส ยิงเพิ่มอีก 2 ลูกในครึ่งหลัง

และนี่คือ 5 ประเด็นที่ต้องถูกพูดถึง จากผลงานมาสเตอร์พีซอีกนัดของ ลิเวอร์พูล ที่ อัลลิอันซ์ อารีน่า

 

1. “มาเน่” โคตรท็อปฟอร์ม

ซาดิโอ มาเน่ คือนักเตะที่อันตรายที่สุดในแนวรุกของ ลิเวอร์พูล ณ ตอนนี้ อย่างไม่ต้องสงสัย หลังจากทำสถิติ ยิงให้ทีมหงส์แดงรวมกันถึง 10 ประตู ในรอบ 10 นัดหลังสุด รวมทุกรายการ

ปีกตัวจี๊ดทีมชาติเซเนกัล ออกสตาร์ทเกมที่มิวนิคในตำแหน่งปีกขวา ก่อนที่จะโยกไปยืนทางด้านซ้ายเหมือนเดิม เมื่อเกมผ่านไปสักพัก และใช้ความเร็วอันเป็นจุดเด่น ไปรับบอลวางยาวจาก เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ก่อนพลิกตัวหนี มานูเอล นอยเออร์ แล้วชิพตุงตาข่ายนิ่มๆ ซึ่งเป็นประตูที่คลายความกดดันให้หงส์แดงทันที

นอกจากจะเป็นคนทำประตูขึ้นนำแล้ว มาเน่ ยังโชว์ลูกโขกปลิดวิญญาณ อันเป็นประตูฝังเสือใต้ลงหลุมอย่างเด็ดขาดในช่วงท้ายเกมอีกด้วย

จากการเหมาคนเดียว 2 ประตูในเกมนี้ ทำให้ ซาดิโอ มาเน่ กลายเป็นนักเตะที่ยิงประตูในเกมนัดเยือนของศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของ ลิเวอร์พูล ด้วย (7 ประตู)

 

2. ชั่วโมงนี้ ไม่มีกองหลังคนไหนเจ๋งเท่า “ฟาน ไดค์”

ถ้าหาก ซาดิโอ มาเน่ คือแนวรุกที่อันตรายที่สุดของ ลิเวอร์พูล ตอนนี้ ก็คงปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ คือปราการหลังที่ดีที่สุดในรอบกว่า 10 ปีของทีมหงส์แดง และอาจจะเป็นปราการหลังที่ดีที่สุดของยุโรป ณ ชั่วโมงนี้แบบไม่มีใครเถียงด้วยซ้ำ

นับตั้งแต่ ฟาน ไดค์ ย้ายจาก เซาธ์แฮมป์ตัน มาค้าแข้งในถิ่นแอนฟิลด์ ด้วยค่าตัวสถิติโลกกองหลัง เขาทำให้เกมรับของ ลิเวอร์พูล เหนียวแน่นและแน่นอนขึ้นชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูกาลนี้ ที่ทีมหงส์แดงเสียประตูน้อยที่สุดใน 5 ลีกดังยุโรป ร่วมกับ แอตเลติโก มาดริด (17 ประตูในลีก) และทำให้ทีมได้ลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ออกสตาร์ทซีซั่น

เกมที่ ลิเวอร์พูล บุกชนะ บาเยิร์น มิวนิค นัดล่าสุด เซนเตอร์แบ็กกัปตันทีมชาติเนเธอร์แลนด์รายนี้ คือผู้เล่นที่เคลียร์บอลอันตรายทิ้งได้มากที่สุดในสนาม (5 ครั้ง) และประกบ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ดาวถล่มประตูของทีมเจ้าถิ่นซะจนแผลงฤทธิ์ไม่ออก

และนอกจากจะเล่นเกมรับได้อย่างเหนียวแน่นตามมาตรฐานระดับสูงของตัวเองแล้ว ฟาน ไดค์ ยังเป็นคนแอสซิสต์ประตูแรกให้ ซาดิโอ มาเน่ ก่อนเติมขึ้นไปโขกพังประตูที่ 2 จากจังหวะเตะมุมในครึ่งหลังได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งนั่นคือประตูที่แทบจะดับความหวังของเสือใต้ระหว่างเกมเลยทีเดียว

 

3. หงส์แดงยังต้องการแชมป์ยุโรป แม้หวังแชมป์ลีกมากกว่า

หากไปถามแฟนหงส์แดงทุกคน ว่าระหว่าง แชมป์พรีเมียร์ลีก กับ แชมป์ยุโรป พวกเขาอยากได้อันไหนมากกว่ากัน รับรองได้เลยว่าคำตอบต้องเป็น “แชมป์พรีเมียร์ลีก”

ฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล ใกล้เคียงกับการลุ้นแชมป์ลีกมากที่สุดในรอบหลายปี โดยกำลังเบียดตำแหน่งจ่าฝูงกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อยู่ทุกสัปดาห์ ซึ่งว่ากันว่า ถ้าหากทีมหงส์แดงไม่ต้องพะวงกับโปรแกรมฟุตบอลยุโรป อาจจะกลับมาได้เปรียบทีมเรือใบสีฟ้า ในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาลก็ได้

อย่างไรก็ตาม เจอร์เก้น คล็อปป์ และลูกทีม ยังแสดงให้เห็นว่า ถ้าพวกเขามีศักยภาพดีพอที่จะลุ้นได้ 2 แชมป์ เรื่องอะไรจะต้องหวังแค่ถ้วยเดียวด้วยล่ะ?

 

4. “เสือใต้”​ ต้องยกระดับทีมใหม่ด่วน

ถ้าจะบอกว่านี่คือฤดูกาลที่ บาเยิร์น มิวนิค ตกต่ำที่สุดในรอบหลายปีก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะในบุนเดสลีกา แม้จะนำจ่าฝูงได้ แต่ก็ยังมีแต้มเท่ากับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ทั้งที่ปีก่อนๆ มักลอยลำนำขาดไปแล้ว หากเข้าช่วงท้ายซีซั่น

และแน่นอน การไม่ได้เข้าไปเล่นในรอบ 16 ทีมสุดท้าย แชมเปี้ยนส์ ลีก คือสิ่งที่ต่ำกว่ามาตรฐานของทีมเสือใต้อย่างปฏิเสธไม่ได้

อย่างไรก็ตาม บาเยิร์น ไม่แสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานเท่าที่ควร ที่จะทำให้สโมสรอยู่ในระดับแถวหน้าของยุโรป นับตั้งแต่ จุ๊ปป์ ไฮย์เกส ตัดสินใจวางมือไป เมื่อจบฤดูกาลที่แล้ว โดยเลือกลองของกับกุนซือที่ประสบการณ์ยังไม่สูงอย่าง นิโก้ โควัช 

แต่ยิ่งไปกว่านั้น คือการทำให้ขุมกำลังตัวเองอ่อนลงไปซะเอง…

ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา บาเยิร์น มิวนิค ไม่มีการทุ่มเงินเสริมทัพนักเตะใหม่เข้าสู่ทีม โดยเซ็นสัญญากับ เลออน โกเร็ตซ์ก้า มาจาก ชาลเก้ 04 แบบไม่มีค่าตัว และเรียกตัวนักเตะเกรดบีอย่าง แซร์ช กนาบรี้ กับ เรนาโต้ ซานเชส กลับมาจากการยืมตัวเท่านั้น

พวกเขายังพึ่งพานักเตะที่เลยจุดพีคของตัวเองไปแล้วอย่าง มานูเอล นอยเออร์, อาร์เยน ร็อบเบน, โธมัส มุลเลอร์, ฆาบี มาร์ติเนซ, ฟร้องค์ ริเบรี่, ราฟินญ่า และ มัทส์ ฮุมเมิ่ลส์ เป็นแกนหลัก และกลับปล่อยนักเตะชื่อชั้นดีอย่าง ดั๊กลาส คอสต้า กับ อาร์ตูโร่ วิดาล ให้ไปเป็นอะไหล่ของยักษ์ใหญ่นอกประเทศ

เชื่อว่า ถ้าหากทีมเสือใต้ไม่สามารถคว้าแชมป์บุนเดสลีกาซีซั่นนี้ได้สำเร็จ โอกาสที่ นิโก้ โควัช จะโดนปลดก็ถือว่ามีสูง แล้วไปหากุนซือมือเก๋าๆ ที่ยังว่างงานอยู่มาคุมทีมแทน ไม่ว่าจะเป็น อันโตนิโอ คอนเต้, อาร์แซน เวนเกอร์ หรือ โชเซ่ มูรินโญ่

ส่วนเรื่องการเสริมทัพ บาเยิร์น คงต้องจริงจังกับการทุ่มซื้อแข้งระดับท็อป ที่อายุการใช้งานได้นานเข้ามาเสริมโดยด่วน หากอยากกลับมาเป็นยักษ์ใหญ่ที่ทั่วยุโรปหวาดกลัวอีกครั้งหนึ่ง

5. ชัยชนะขาดลอยของ “พรีเมียร์ลีก” เหนือ “บุนเดสลีกา”

จากการที่ ลิเวอร์พูล ล้มทีมระดับแชมป์บุนเดสลีกาอย่าง บาเยิร์น มิวนิค ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย ทำให้นี่คือครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ทีมจากเยอรมนี ต้องร่วงตกรอบด้วยน้ำมือทีมจากอังกฤษ ถึง 3 ทีม

ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สามารถเอาชนะ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ แบบไปกลับ ด้วยสกอร์รวม 4-0 ขณะที่จ่าฝูงพรีเมียร์ลีกอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ถล่ม ชาลเก้ 04 ไปแบบบอลคนละชั้น 7-0 ในเกมเลกสองที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม หลังจากเลกแรก บุกไปอัดราชันสีน้ำเงินมาก่อน 3-2

เท่ากับว่า 6 นัดที่ทีมจากเมืองเบียร์ พบสโมสรจากแดนผู้ดี ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย แชมเปี้ยนส์ ลีก ปีนี้ ไม่มีทีมไหนยัดเยียดความปราชัยให้ทีมจากอังกฤษได้เลย

และจากการที่ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบได้สำเร็จ ทำให้ตัวแทนจากพรีเมียร์ลีกทั้ง 4 ทีม ยังอยู่กันครบในรอบ 8 ทีมสุดท้ายฤดูกาลนี้ หลังจากหนสุดท้ายที่ มีทีมจากอังกฤษถึง 4 ทีมในรอบก่อนรองชนะเลิศ ต้องย้อนไปถึงฤดูกาล 2008-09

ขณะที่การตกรอบของ บาเยิร์น มิวนิค ทำให้นี่คือครั้งแรกในรอบ 13 ปี ที่ไม่มีสโมสรจากเยอรมนีในรอบ 8 ทีม นับตั้งแต่ฤดูกาล 2005-06 อีกด้วย