Fact หลังเกม : 5 จุดที่น่าพูดถึง หลังหงส์โชว์โหด ยำปืนโต 5-1

Fact หลังเกม : 5 จุดที่น่าพูดถึง หลังหงส์โชว์โหด ยำปืนโต 5-1
Fact หลังเกม : 5 จุดที่น่าพูดถึง หลังหงส์โชว์โหด ยำปืนโต 5-1

5 จุดที่น่าพูดถึงจากเกมบิ๊กแมตช์พรีเมียร์ลีก ที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านถล่ม อาร์เซน่อล 5-1

ลิเวอร์พูล เริ่มมี “ราศีแชมป์พรีเมียร์ลีก” จับมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากยังคงระเบิดฟอร์มร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง เมื่อเปิดบ้านถล่ม อาร์เซน่อล ไปยับเยิน 5-1 คว้าชัยชนะส่งท้ายปี 2018 อย่างงดงาม

ทีมหงส์แดงยังคงสถิติไม่แพ้ใครในลีก นับตั้งแต่ฤดูกาล 2018-19 ออกสตาร์ท และจากการที่ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เกิดพลิกล็อคพ่าย วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส คาบ้าน 1-3 ยิ่งทำให้บรรดา “เดอะ ค็อป” มีความสุขมากขึ้นไปใหญ่

เกมที่แอนฟิลด์นัดล่าสุด ถือว่าเป็นนัดที่แฟนบอลทุกคนให้ความสนใจ และนี่คือ 5 ประเด็นที่น่าถูกพูดถึง จากบิ๊กแมตช์คู่นี้

 

1. แฮตทริกแรกของ “ฟีร์มีโน่” ในสีเสื้อหงส์แดง

พระเอกของเกมเมื่อคืนนี้ คงหนีไม่พ้น โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ตัวรุกทีมชาติบราซิล ที่ระเบิดฟอร์มเหมาคนเดียว 3 ประตู ถือเป็นการทำแฮตทริกครั้งแรกของเขา นับตั้งแต่ย้ายจาก ฮอฟเฟ่นไฮม์ มาอยู่กับ ลิเวอร์พูล เมื่อปี 2015

การเหมาซัดคนเดียว 3 ลูก ถือเป็นการหยุดสถิติย่ำแย่ ยิงไม่ได้ 5 นัดติดต่อกันลงได้สำเร็จ โดยประตูแรก เขาโชว์การยิงแบบไม่มองประตูอันเป็นเอกลักษณ์ให้เห็นอีกครั้ง ก่อนจะได้ความมั่นใจ จนล็อกแหวกแนวรับทีมเยือนซะแทบหลังหัก แล้วซัดประตูที่ 2 เข้าไปอย่างเหนือชั้น

แฮตทริกของ ฟีร์มีโน่ ต้องยกเครดิตให้กับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ด้วย ที่เสียสละหน้าที่สังหารจุดโทษลูกปิดท้ายของเกมให้ เพราะหากดาวยิงทีมชาติอียิปต์ยิงเข้าไป จะขึ้นนำดาวซัลโวเดี่ยวๆ เหนือ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง และ แฮร์รี่ เคน แล้ว

ฟีร์มีโน่ ดูจะถูกโฉลกสุดๆ กับการเจอกับ อาร์เซน่อล เพราะยิงใส่ทีมปืนใหญ่ไปถึง 8 ประตู จากการลงสนามเจอกัน 8 นัด โดย 7 ประตู จากจำนวนนั้น เกิดขึ้นจาก 4 หนที่ลงสนามที่แอนฟิลด์ ซึ่งนับตั้งแต่ “บ็อบบี้” ย้ายมาเล่นในอังกฤษ เขาทำประตูในเกมเหย้าที่เจอ อาร์เซน่อล ได้ทุกนัดเลยทีเดียว

2. “ซาลาห์” สมบูรณ์แบบ

เกมนี้ถือเป็นนัดที่ 3 ติดต่อกัน ที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ โชว์ผลงาน “ยิง 1 จ่าย 1” ซึ่งนับตั้งแต่เขาย้ายมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล เมื่อฤดูกาลที่แล้ว เจ้าตัวทำผลงานทั้งยิงทั้งจ่ายในเกมเดียว เป็นครั้งที่ 10 ในลีกเข้าไปแล้ว

ซาลาห์ เรียกจุดโทษเอง และรับหน้าที่สังหารเองพาทีมนำห่าง 4-1 ตั้งแต่จบครึ่งแรกซึ่งเป็นประตูปิดเกม โดยก่อนหน้านั้นเขาก็แอสซิสต์ถวายพานให้ ซาดิโอ มาเน่ ซัดประตู 3-1 อย่างเนียนกริ๊บสุดๆ

สตาร์ทีมชาติอียิปต์ กลายเป็นนักเตะที่มีส่วนกับประตูในพรีเมียร์ลีกมากที่สุดในฤดูกาลนี้ไปแล้ว (20 ลูก – ยิง 13 จ่าย 7) แซง เอแด็น อาซาร์ ดาวเด่นของ เชลซี ที่มีส่วน 19 ลูก (ยิง 10 และแอสซิสต์ 9) แต่สถิตินี้ ยังไม่ได้นับเกมที่ เชลซี จะบุกไปเยือน คริสตัล พาเลซ ในวันอาทิตย์

 

3. “โอบาเมย็อง” เงียบสนิท

แม้จะมีดีกรีเป็นผู้นำดาวซัลโวก่อนลงสนาม แต่เกมนี้ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง ดาวยิงตัวเก่งทีมชาติกาบองของ อาร์เซน่อล ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ล่องหน เพราะหายไปจากเกมโดยสิ้นเชิง และไม่มีจังหวะยิงเข้ากรอบแม้แต่ครั้งเดียว

โอบาเมย็อง ได้สัมผัสบอลในเกมนี้เพียงแค่ 13 ครั้ง และน่าตลกตรงที่ 6 ครั้ง ในจำนวนนั้น คือจังหวะเขี่ยลูกเริ่มเล่น!! (คิกออฟ 1 ครั้ง บวกกับเขี่ยเริ่มเกมใหม่ หลังเสียประตูอีก 5 ครั้ง)

สุดท้าย เขาก็อดมีชื่อทำประตูในเกมนี้ เมื่อโดนเปลี่ยนตัวออกให้ อเล็กซองด์ ลากาแซ็ตต์ ลงไปแทนในนาที 70 ซึ่งการที่ อูไน เอเมรี่ ตัดสินใจไม่ส่ง ลากาแซ็ตต์ ลงประสานงานกับเขาในแดนหน้า ทั้งที่คู่นี้ประสานงานกันได้ดีให้เห็นหลายครั้ง ก็เป็นประเด็นที่ถูกแฟนปืนใหญ่วิจารณ์อย่างมากเช่นกัน

 

4. หลังปืนใหญ่รั่วมาก!!

การเคลียร์บอลกันไม่ขาด และเตะสกัดไปชนกันเอง ทำให้ อาร์เซน่อล ที่อุตส่าห์บุกนำก่อนในเกมนี้ ต้องเสียประตูตีเสมออย่างรวดเร็ว ก่อนที่แค่ไม่ถึง 2 นาทีถัดจากนั้น แนวรับปืนใหญ่ก็โดน โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ฉีกอย่างง่ายดาย จนกลายเป็นฝ่ายตามหลัง และเปลี่ยนโฉมหน้าของรูปเกมไปโดยทันที

นอกจากนั้นแล้ว การเช็คล้ำหน้าที่ผิดพลาด ตามด้วยการทำฟาวล์ในกรอบเขตโทษจนเสียจุดโทษง่ายๆ ก็ทำให้นี่เป็นเกมที่ ลิเวอร์พูล ยิงประตูในลีกได้มากที่สุดของฤดูกาล และถือเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี ที่ทีมปืนใหญ่เสียถึง 4 ประตูในครึ่งแรก

ถึงตอนนี้ อาร์เซน่อล เสียประตูในพรีเมียร์ลีกไปแล้วถึง 30 ลูก น้อยกว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ว่ากันว่ามีจุดอ่อนที่กองหลังแค่ลูกเดียว ซึ่งการที่บรรดากองหลังทีมปืนใหญ่ สลับกันเจออาการบาดเจ็บเล่นงานเป็นว่าเล่น คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้พวกเขาขาดความเข้าใจกันในเกมรับ

 

5. หรือหงส์แดง จะเป็น “แชมป์ไร้พ่าย”?

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ลิเวอร์พูล มีโอกาสสดใสเป็นอย่างยิ่ง ที่จะได้แชมป์พรีเมียร์ลีกที่รอคอยมานานแสนนานเสียที

เพราะการนำห่าง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 9 แต้ม และนำ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ล่วงหน้า 10 แต้ม ก่อนที่ทีมเรือใบสีฟ้า จะบุกเยือน เซาธ์แฮมป์ตัน นั่นหมายความว่า ต่อให้แพ้อีก 2 นัดติด พวกเขาก็ยังไม่ร่วงลงจากตำแหน่งจ่าฝูง

นอกจากนั้นแล้ว การออกสตาร์ทฤดูกาล ด้วยการไม่แพ้ 20 นัดติดต่อกัน โดยกวาดไปถึง 54 แต้ม (ชนะ 17 เสมอ 3) ถือเป็นผลงานที่เหนือกว่า อาร์เซน่อล ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ของฤดูกาล 2003-04 ที่ครองแชมป์แบบไร้พ่ายเสียอีก

20 นัดแรกของทีมปืนใหญ่ในซีซั่นระดับตำนาน ทีมปืนใหญ่ ชนะ 13 เสมอ 7 ถือว่าเก็บแต้มน้อยกว่าหงส์แดงตอนนี้มากถึง 8 แต้ม

 

อย่างไรก็ตาม เกมนัดที่ 21 ซึ่งเป็นนัดประเดิมปี 2019 จะถือเป็นบทพิสูจน์ของจริง ว่า ลิเวอร์พูล จะสามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ โดยทำสถิติไม่แพ้ใครเลยได้หรือไม่ เมื่อต้องบุกเยือนแชมป์เก่าอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้

และหาก เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังพาทีมเก็บแต้มได้อีก เราคงต้องเชื่อแล้วแหละ ว่ามันมีโอกาสเป็นไปได้สูงจริงๆ!!