Fact หลังเกม : 5 จุดต้องพูดถึง จากเกมแดงเดือดจืดชืด ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

Fact หลังเกม : 5 จุดต้องพูดถึง จากเกมแดงเดือดจืดชืด ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
Fact หลังเกม : 5 จุดต้องพูดถึง จากเกมแดงเดือดจืดชืด ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

5 ประเด็นที่ต้องถูกพูดถึง จากเกมพรีเมียร์ลีกที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เปิดบ้านเสมอ ลิเวอร์พูล 0-0

ศึก “แดงเดือด” ยกที่ 2 ของฤดูกาล 2018-19 จบลงไปแบบไม่สมกับที่แฟนบอลตั้งตารอคอย เพราะทั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ลิเวอร์พูล ต่างเล่นกันแบบกลัวแพ้ทั้งคู่ และทำให้เกมจบลงด้วยสกอร์สุดจืดชืด 0-0

อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่มีประตูเกิดขึ้น แต่ก็มีหลายประเด็นที่น่าถูกพูดถึง ซึ่งนี่คือ 5 เรื่องสำคัญจากเกมที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อคืนนี้ ที่เราสรุปมาฝากแฟนบอลกัน…

1. เจ็บกันเก่ง!!!

บางทีคนที่ควรได้ตำแหน่ง แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ของเกมแดงเดือด 2019 มากที่สุด น่าจะเป็นแพทย์สนาม หลังจากในครึ่งแรก มีนักเตะที่บาดเจ็บจนเล่นต่อไม่ไหวถึง 4 คน โดย 3 คนในนั้นเป็นของฝั่ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ฆวน มาต้า กับ อันเดร์ เอร์เรร่า เล่นได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก่อนที่ช่วงท้ายครึ่งแรก เจสซี่ ลินการ์ด ที่ลงมาแทน มาต้า ตั้งแต่นาที 25 ก็เจ็บในจังหวะหลุดเดี่ยวไปโดน อาลีสซง เบ็คเกอร์ บล็อคในเขตโทษ จนเล่นต่อไม่ไหวไปอีกคน ทั้งที่เพิ่งหายเจ็บกลับมาลงสนามได้แท้ๆ

น่าเป็นห่วงแทน โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ จริงๆ ที่ตัวหลักในแนวรุกต้องมาเจ็บกันระนาวเช่นนี้ เพราะ มาร์คัส แรชฟอร์ด ก็ต้องฝืนเล่นจนจบเกม เมื่อทีมเปลี่ยนตัวครบตั้งแต่ครึ่งแรก ส่วน อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ก็หายเจ็บไม่ทัน จนไม่มีส่วนร่วมกับทีมในเกมนี้ก่อนแล้ว

ทางด้าน ลิเวอร์พูล ก็ต้องเสีย โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ที่เจ็บข้อเท้าจนเดินกะเผลกออกไปในนาที 31 และเป็นเรื่องที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องหนักใจ เพราะกองหน้าตัวสำรองทั้ง แดเนียล สเตอร์ริดจ์ และ ดิว็อค โอริกี้ ก็ดูจะไม่สามารถฝากผีฝากไข้ไว้ได้เลย

 

2. “ซาลาห์” ยังฝืดสนิท เมื่อเจอผี

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ อาจจะเป็นตัวรุกที่ดีที่สุดของพรีเมียร์ลีก จากผลงานครองดาวซัลโวฤดูกาลที่แล้ว และยังเป็นนักเตะที่ยิงได้มากที่สุดในลีกซีซั่นนี้ แต่เกมเมื่อคืนนี้ ก็เป็นอีกครั้งที่เจ้าตัวเล่นไม่ออก ยามเจอกับคู่แข่งที่ชื่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ซาลาห์ คือผู้เล่นที่น่าผิดหวังที่สุดของฝั่ง ลิเวอร์พูล ในเกมเมื่อคืนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะไม่สามารถสร้างสรรค์โอกาสให้เพื่อน และไม่สามารถหาโอกาสยิงเข้ากรอบได้เลยแม้แต่หนเดียว หลังจากโดน ลุค ชอว์ แบ็กซ้ายเจ้าถิ่น จัดการประกบซะอยู่หมัด

โอกาสยิงเพียง 1 ครั้งของดาวเตะทีมชาติอียิปต์ในเกมบุกเยือนผีแดง คือการซัดฟรีคิกระยะหวังผล แต่ก็ปั่นข้ามคานออกไปแบบไม่มีลุ้นเท่านั้น ก่อนที่จะต้องโดนเปลี่ยนตัวออกให้ ดิว็อค โอริกี้ ลงไปแทนในช่วงท้ายเกม

ถึงตอนนี้ ซาลาห์ ยังไม่สามารถทำประตูหรือแอสซิสต์ได้เลย ตลอด 4 เกมที่ผ่านมา ที่ลงสนามพบกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ในพรีเมียร์ลีก

 

3. “คล็อปป์” เริ่มเป็นโค้ชที่กลัวแพ้

การที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ และใช้โควตาเปลี่ยนตัวครบ 3 คนตั้งแต่ครึ่งแรก มันควรเป็นโอกาสทองที่ ลิเวอร์พูล จะเดินหน้าบุก เพื่อคว้า 3 แต้มสำคัญกลับบ้าน

แต่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ดูเหมือนจะพอใจกับการคว้า 1 คะแนนซะอย่างนั้น เมื่อไม่สั่งให้ลูกทีมเร่งเกมบุกเลยในครึ่งหลัง ทั้งที่ปีศาจแดงหันไปเน้นเกมรับเต็มตัว

ลิเวอร์พูล เอาแต่เน้นการครองบอล (ครองบอลถึง 64.5%) และเคาะบอลไปเคาะบอลมา (568 ครั้ง) ปล่อยให้เจ้าบ้านกลายเป็นลิงชิงบอล แต่ก็ไม่หาจังหวะเข้าทำเสียวๆ ซะที

สถิติหลังจบเกม ทีมเยือนยิงเข้ากรอบเพียงครั้งเดียว จากโอกาสส่องไกลของหัวหอกตัวสำรองอย่าง แดเนียล สเตอร์ริดจ์ แต่ก็ไม่ได้ลุ้นอะไร เพราะไปเข้ามือ ดาบิด เด เคอา รับไว้ไม่มีปัญหา

เห็นได้ชัดว่า นับตั้งแต่หงส์แดงโดน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เอาชนะ 2-1 ในช่วงขึ้นปีใหม่ ก่อนฟอร์มค่อยๆ ตกเล็กน้อย จนโดนเรือใบสีฟ้าจี้เข้ามาเรื่อยๆ คล็อปป์ กลายเป็นโค้ชที่ “เน้นผล” มากกว่าเดิม และดูจะพอใจกับผลเสมอมากกว่าเดิม หากมันเพียงพอให้ทีมของเขาไม่เสียตำแหน่งจ่าฝูง

แต่จากที่นำ แมนฯ​ ซิตี้ 7 แต้ม ตอนนี้เหลือนำแค่ 1 แต้ม ต้องบอกว่าถ้ากุนซือชาวเยอรมันยังไม่รีบกระตุ้นลูกทีมให้กลับมาโชว์ฟอร์มดุ ขอบอกเลยว่าลุ้นแชมป์เหนื่อยแน่!!

 

4. เด เคอา เก็บคลีนชีตครบ 100 นัด

จากผลงานไม่เสียประตูในเกมนี้ ทำให้ ดาบิด เด เคอา ทำสถิติเก็บคลีนชีตในพรีเมียร์ลีกครบ 100 นัด ถือเป็นนายด่านคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ทำได้ต่อจาก ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล (112 นัด)

อย่างไรก็ตาม คลีนชีตของ เด เคอา ในนัดนี้ ต้องยกเครดิตให้กับบรรดาแผงหลังปีศาจแดงมากกว่า โดยแผงแบ็กโฟร์ของเจ้าบ้าน ทำสถิติเคลียร์บอลอันตรายทิ้งรวมกันถึง 22 ครั้ง ซึ่งคนที่ทำได้มากที่สุดคือ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ (9 ครั้ง) ขณะที่ ลุค ชอว์ ก็จัดการกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ซะจนเล่นไม่ออก

จอมหนึบทีมชาติสเปน เจอกับเกมแดงเดือดที่น่าจะงานเบาที่สุดในชีวิตเขาเลยก็ว่าได้ เพราะไม่ต้องออกแรงเซฟลูกยากแม้แต่ครั้งเดียว ผิดกับครั้งก่อนๆ หน้าที่ต้องมีช็อตมหัศจรรย์ให้เห็นตลอด

 

5. กลุ่ม “บิ๊กซิกซ์” บี้กันสูสี

ผลเสมอนัดนี้ อาจทำให้ ลิเวอร์พูล กลับไปนำจ่าฝูงอีกครั้ง แต่การที่พวกเขาคว้าชัยชนะไม่สำเร็จ จึงทำให้นำหน้าแชมป์เก่าอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แค่เพียงแต้มเดียว และทิ้งทีมม้ามืดอย่าง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่เพิ่งสะดุดแพ้เมื่อวันเสาร์แค่ 6 คะแนนเท่านั้น

ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ก่อนหน้านี้อุตส่าห์ขยับขึ้นมาติดท็อปโฟร์ได้ ก็มีอันต้องกลับลงไปอยู่อันดับ 5 อีกครั้ง เพราะ อาร์เซน่อล ไม่พลาด 3 แต้ม จากการเอาชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน 2-0 และมีโอกาสที่จะกลับไปอยู่ที่ 6 ด้วย หาก เชลซี เก็บชัยชนะในเกมตกค้างที่จะต้องพบ ไบรท์ตัน ได้ตามเป้า

 

ถึงตรงนี้ เรายังเดาไม่ออกจริงๆ ว่าแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้จะเป็นใคร และทีมที่จะเข้าป้ายอันดับ 4 จะเป็นทีมไหนกันแน่?

inbizth รับทำเว็บ e-commerce