ผลออกได้ทุกหน้า!! 5 จุดได้เปรียบ ของทั้งฝั่งผีและหงส์ ก่อนบู๊แดงเดือดคืนนี้

ผลออกได้ทุกหน้า!! 5 จุดได้เปรียบ ของทั้งฝั่งผีและหงส์ ก่อนบู๊แดงเดือดคืนนี้
ผลออกได้ทุกหน้า!! 5 จุดได้เปรียบ ของทั้งฝั่งผีและหงส์ ก่อนบู๊แดงเดือดคืนนี้

5 จุดได้เปรียบของทั้ง แมนฯ ยูไนเต็ด และ ลิเวอร์พูล ในการที่แต่ละฝ่าย ลุ้นคว้าชัยในเกมแดงเดือดคืนนี้

คืนวันนี้แล้ว (อาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์) ที่ศึกแดงเดือดยกสุดท้ายของฤดูกาล 2018-19 จะฟาดแข้งกันที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด หลังจากยกแรกที่แอนฟิลด์ เป็นฝั่ง ลิเวอร์พูล ที่ฝากรอยแค้นไว้ก่อน ด้วยการถล่ม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไป 3-1

หากจะให้ฟันธงผลการแข่งขัน ถือว่าเดาออกยากมาก เพราะทั้งสองทีมต่างมีโอกาสเป็นผู้ชนะพอๆ กัน

แต่ถ้าจะหาเหตุผลที่แต่ละฝ่ายมีโอกาสได้ 3 แต้ม ลองไปดูกันว่า ของทั้งฝั่งผีแดง และหงส์แดง ได้เปรียบในเรื่องอะไรกันบ้าง

5 เหตุผล ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด มีโอกาสชนะ


1. ได้เล่นใน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีสถิติที่ยอดเยี่ยม ในการลงเล่นเกมพรีเมียร์ลีกพบกับ ลิเวอร์พูล ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

หากนับเฉพาะ 10 ปีหลังสุด ผีแดงแพ้หงส์แดงคาบ้านเพียง 2 นัดเท่านั้น โดยสามารถชนะได้ถึง 7 นัด และเสมอกันไปอีก 1 หน

สำหรับหนสุดท้ายที่ ลิเวอร์พูล บุกคว้าชัยถึงโรงละครแห่งความฝัน ต้องย้อนไปไกลถึงเดือนมีนาคมปี 2014 ตอนที่ แมนฯ ยูไนเต็ด คุมทีมโดย เดวิด มอยส์ ซึ่งหงส์แดงบุกชนะสบาย 3-0

หลังจากนั้นมา ผีแดงก็ไม่แพ้คู่ปรับตลอดกาลคาบ้านมานานถึง 5 นัดติดต่อกันรวมทุกถ้วย (ชนะ 3 เสมอ 2) โดยหนล่าสุดที่เจอกันที่สนามแห่งนี้ มาร์คัส แรชฟอร์ด ก็เหมาคนเดียว 2 ประตู พาทีมชนะไป 2-1

 

2. สภาพทีมพร้อมรบ

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ลงเตะนัดล่าสุด คือการบุกไปชนะ เชลซี 2-0 ในศึก เอฟเอ คัพ รอบ 5 เมื่อคืนวันจันทร์ ทำให้ทีมปีศาจแดงมีเวลาพักมากกว่า ลิเวอร์พูล 1 วัน โดยทีมหงส์แดงเพิ่งจะเปิดบ้านเสมอกับ บาเยิร์น มิวนิค ไป 0-0 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อคืนวันอังคาร

สภาพความพร้อมของเจ้าบ้าน ยังดูดีขึ้นด้วย เพราะมีโอกาสที่ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล และ เจสซี่ ลินการ์ด 2 แข้งหลักในแนวรุก จะหายจากอาการบาดเจ็บที่ได้รับจากเกมแพ้ เปแอสเช 0-2 กลับมาเป็นตัวเลือกของทีมทันเวลาในเกมนี้

ลินการ์ด และ มาร์กซิยาล ถือเป็นกุญแจสำคัญ ในแท็กติกเกมรุกของ โซลชาร์ ที่ต้องการนักเตะความคล่องตัวสูง เพื่อเล่นเกมโต้กลับเร็วตามสไตล์ถนัด ซึ่งถ้าทั้งคู่พร้อมลงตัวจริง ย่อมดีกว่านักเตะฟอร์มฝืดอย่าง อเล็กซิส ซานเชซ หรือ โรเมลู ลูกากู แน่

3. กลับมาโหดอีกครั้ง ตั้งแต่ได้ “โซลชาร์” มาคุม

นับตั้งแต่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่งตั้ง โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ขึ้นเป็นกุนซือขัดตาทัพแทนที่ โชเซ่ มูรินโญ่ ซึ่งโดนปลดกลางอากาศ หลังพาทีมแพ้หมดรูปในเกมแดงเดือดที่แอนฟิลด์ พวกเขาก็กลับมาทำผลงานสุดยอด จนมีลุ้นติดท็อปโฟร์อย่างเต็มตัว

โซลชาร์ คุมผีแดงมาแล้ว 13 นัดรวมทุกรายการ สามารถพาทีมชนะได้ถึง 11 นัด (เปอร์เซ็นต์ชนะสูงถึง 84.6%) โดยยังไม่รู้จักคำว่าแพ้ในเกมลีก (ชนะ 8 เสมอ 1)

แมนฯ ยูไนเต็ด ยังแสดงให้เห็นถึงการกลับมามีเกมบุกสุดยอดอีกครั้ง เมื่อยิงรวมกันถึง 30 ประตู ภายใต้การคุมทีมของโค้ชชาวนอร์เวย์ (เฉลี่ยนัดละ 2.3 ลูก)

ซึ่งหาก โซลชาร์ พาทีมคว้า 3 แต้มได้สำเร็จ ก็น่าจะทำให้เจ้าตัวมีโอกาสสูงขึ้น ที่จะได้สัญญาคุมทีมถาวรด้วย

4. ซีซั่นนี้ หงส์แดงเยือนทีมใหญ่ไม่แจ่ม

นับตั้งแต่บุกชนะ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ได้ 2-1 เมื่อช่วงต้นฤดูกาล หลังจากนั้นทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็ไม่สามารถบุกไปชนะทีมในกลุ่มบิ๊กซิกซ์ได้อีกเลย โดยได้แค่บุกเสมอ เชลซี กับ อาร์เซน่อล ก่อนจะโดน แมนฯ ซิตี้ เอาชนะไป 2-1

เท่านั้นไม่พอ ทีมหงส์แดงยังพบกับความพ่ายแพ้ 100% ในการออกนอกบ้านในรายการอื่นที่ไม่ใช่เกมลีก โดยในศึก UCL พวกเขาแพ้นัดเยือน 3 นัดรวดในรอบแบ่งกลุ่ม ส่วนในถ้วย เอฟเอ คัพ ก็โดน วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส สอยร่วง 2-1 ตั้งแต่รอบ 3

 

5. “ซาลาห์” ฝืดสนิท เมื่อเจอผีแดง

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ คือตัวรุกที่อันตรายที่สุดในพรีเมียร์ลีก ณ ตอนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย หลังจากทำผลงานยิงให้ทีมหงส์แดงในเกมลีกไปถึง 49 ประตู บวกกับอีก 17 แอสซิสต์ นับตั้งแต่ออกสตาร์ทฤดูกาล 2017-18

อย่างไรก็ตาม ตลอด 3 นัดที่เขาลงสนามพบกับ แมนฯ ยูไนเต็ด เขาไม่สามารถยิงหรือแอสซิสต์ได้เลย และหาจังหวะซัดตรงกรอบได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น

ถ้าหากดาวดังทีมชาติอียิปต์ ยังโดนจับตายจนเล่นไม่ออกในเกมแดงเดือดอีกครั้ง โอกาสที่ ลิเวอร์พูล จะชนะได้ ก็คงยิ่งลดน้อยลงไปมากๆ

 

______________________________

5 เหตุผลที่ ลิเวอร์พูล มีโอกาสชนะ

1. ยิงประตูนอกบ้านได้ทุกนัดในลีก

ลิเวอร์พูล คือ 1 ใน 3 ทีมร่วมกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่สามารถทำประตูได้ทุกนัด ในการออกนอกบ้านในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ (24 ประตูจาก 13 เกม)

โดยในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ ทีมปีศาจแดงมีสถิติการเล่นเกมรับในบ้านตัวเองไม่ดีนัก เพราะเก็บคลีนชีตได้เพียงครั้งเดียว จาก 12 นัดที่เล่นที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด และโดนเจาะตาข่ายในบ้านไปแล้วถึง 19 ประตู

 

2. เกมรับสุดยอด

ลิเวอร์พูล คือทีมที่เสียประตูน้อยที่สุดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ (15 ประตู) และเก็บคลีนชีตได้มากที่สุด (14 นัด) ซึ่งเกมรับที่เหนียวแน่นนี้เอง ทำให้พวกเขาแพ้ในลีกไปแค่นัดเดียวเท่านั้น นับตั้งแต่ออกสตาร์ทฤดูกาลมา

แผงแบ็กโฟร์ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ในคืนนี้ น่าจะดีขึ้นด้วย เมื่อ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ฟิตสมบูรณ์กลับมาเล่นแบ็กขวาได้อีกครั้ง แถมยังได้ตัว เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ พ้นโทษแบนจากเกมยุโรป กลับมาคุมแนวรับได้ตามปกติ

 

3. ถ้าผีโหมบุก อาจเข้าทางแผนหงส์

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

แมนฯ ยูไนเต็ด อาจบุกโต้กลับได้อันตรายสุดๆ และไม่ได้เป็นทีมที่เน้นเกมรับอีกแล้ว ตั้งแต่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ เข้ามาทำทีมแทน โชเซ่ มูรินโญ่ ทว่าพวกเขาจะต้องเจอความลำบาก หากเจอกับทีมที่เล่นเกมรับได้เหนียวแน่น และมีจังหวะโต้กลับที่อันตราย

เบิร์นลี่ย์ และ เปแอสเช เคยแสดงให้เห็นมาแล้ว ว่าแท็กติก “รับแล้วโต้” สามารถสร้างปัญหาให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ ซึ่งดูเหมือนว่าแผนนี้ น่าจะใช้กับผีแดงยุค โซลชาร์ ได้ดีกว่าไปผลีผลามเปิดเกมรุกใส่

ลิเวอร์พูล ซึ่งมีเกมรับที่ยอดเยี่ยมในซีซั่นนี้ มีศักยภาพมากพอที่จะโต้กลับใส่ทีมปีศาจแดงแบบเจ็บแสบ เมื่อมีผู้เล่นคล่องตัวสูงในแนวรุกทั้ง โมฮาเหม็ด​ ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ ซาดิโอ มาเน่

เพียงแต่ต้องรอดูว่า เมื่อลงสนามแข่งจริง ทั้ง โซลชาร์ และ คล็อปป์ จะวางหมากกันมาแบบไหน เพราะต้องยอมรับเลยว่าทั้ง 2 ทีมต่างสวนกลับได้อันตรายมากๆ ทั้งคู่

 

4. มาเน่ กำลังโหด

ซาดิโอ มาเน่ คือผู้ทำประตูเบิกร่อง ในเกมแดงเดือดที่ ลิเวอร์พูล ชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 3-1 เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา

แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ ฟอร์มของปีกทีมชาติเซเนกัลกำลังเข้าฝักสุดๆ เพราะยิงในพรีเมียร์ลีกมา 4 นัดติดต่อกัน จนตอนนี้เขากดไปแล้ว 12 ประตู ในลีกซีซั่นนี้ และเป็นรองดาวซัลโวของทีมต่อจาก โมฮาเหม็ด ซาลาห์

จากการที่ ซาลาห์ เป็นเป้าที่โดนประกบมากกว่า ทำให้ มาเน่ อาจเป็นตัวทีเด็ดอีกครั้ง ในการเจาะแนวรับคู่แข่ง และหากเจ้าตัวยังคงรักษาฟอร์มฮอตไว้ได้ เขาอาจเป็นตัวตัดสินผลการแข่งขันในคืนนี้เลยก็เป็นได้

 

5. ถูกโฉลกกับผู้ตัดสิน

ผู้ตัดสินที่จะทำหน้าที่ในเกมแดงเดือดคืนนี้คือ ไมเคิ่ล โอลิเวอร์ ซึ่งในฤดูกาลนี้ เขาลงตัดสินเกมที่ ลิเวอร์พูล ลงเตะในลีกไป 4 นัด ทีมหงส์แดงชนะได้ทั้ง 4 เกม

นัดล่าสุดที่ ลิเวอร์พูล ลงเตะในเกมที่ โอลิเวอร์ ลงทำหน้าที่ คือเกมเปิดบ้านถล่ม อาร์เซน่อล 5-1 ซึ่งเกมนั้นหงส์แดงได้จุดโทษถึง 2 ลูก

แต่ในทางกลับกัน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับไม่ค่อยถูกโฉลกกับเชิ้ตดำรายนี้เท่าไรนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกมใหญ่ๆ

เพราะ 5 นัดหลังสุดรวมทุกรายการ ที่ โอลิเวอร์ ตัดสินในนัดที่ แมนฯ ยูฯ พบกับทีมในกลุ่ม “บิ๊กซิกซ์” นั้น ผีแดงไม่ชนะเลย แถมมีผู้เล่นที่โดนกรรมการรายนี้ไล่ออกจากสนามถึง 2 คน และโดนเป่าจุดโทษในเกมใหญ่ช่วงหลังๆ อีกถึง 2 หน

 

แล้วคืนนี้ เรามารอดูกันว่า “แฟนผี” หรือ “แฟนหงส์” ใครจะเป็นฝ่ายได้เฮในศึกแดงเดือดรอบนี้ ซึ่งบอกเลยว่า น่าจะเป็นนัดที่สนุกสุดมันส์แน่ๆ!!