ซื้อแพงมานั่ง!! 10 แข้งค่าตัวแพงช่วงซัมเมอร์ ย้ายทีมแล้วยังยึดตัวจริงไม่ได้

ซื้อแพงมานั่ง!! 10 แข้งค่าตัวแพงช่วงซัมเมอร์ ย้ายทีมแล้วยังยึดตัวจริงไม่ได้
ซื้อแพงมานั่ง!! 10 แข้งค่าตัวแพงช่วงซัมเมอร์ ย้ายทีมแล้วยังยึดตัวจริงไม่ได้

10 นักเตะค่าตัวไม่ต่ำกว่า 10 ล้านปอนด์จากช่วงซัมเมอร์ 2017 ที่ได้โอกาสลงตัวจริงน้อยมาก

ฟุตบอลลีกยุโรป เปิดฤดูกาลใหม่มาได้ 8 นัด ถือว่านักเตะหลายคนที่เพิ่งย้ายทีม อย่าง เนย์มาร์, โรเมลู ลูกากู, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ต่างระเบิดฟอร์มเปรี้ยง ยึดตัวหลักให้ทีมใหม่ได้ทันที

ทว่ามีผู้เล่นอีกหลายคน ที่แม้จะย้ายทีมด้วยค่าตัวไม่ต่ำกว่า 10 ล้านปอนด์ แต่จนป่านนี้ก็ยังใช้เวลาส่วนใหญ่กับการเป็นตัวสำรอง โอกาสลงในลีกน้อยนิด ทั้งที่ไม่ได้มีปัญหาเจ็บยาวด้วยซ้ำ!!

 

แบร์นาร์โด้ ซิลวา (แมนเชสเตอร์ ซิตี้)

ค่าตัว : 43 ล้านปอนด์ จาก โมนาโก

ลงสนามในลีกให้ทีมใหม่ : ตัวจริง 1 นัด สำรอง 2 นัด

แม้เพิ่งยิงประตูแรกในสีเสื้อเรือใบสีฟ้า ในเกมยำใหญ่ สโต๊ค ซิตี้ 7-2 เมื่อวันเสาร์ แต่จนป่านนี้ยังมองไม่ออกเลยว่า ดาวเตะทีมชาติโปรตุเกส จะลงเป็น 11 ตัวจริงให้ทีมจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกได้อย่างไร

แฟร์นันดินโญ่, ดาบิด ซิลบา และ เควิน เดอ บรอยน์ กำลังโชว์ฟอร์มสมบูรณ์แบบในแดนกลาง ขณะที่ตัวริมเส้นอย่าง ลีรอย ซาเน่ กับ ราฮีม สเตอร์ลิง ก็กำลังแรงต่อเนื่อง

เขาได้ลงตัวจริงในเกมลีกเพียงนัดเดียว วันที่บุกชนะ บอร์นมัธ หืดจับ 2-1 ในเดือนสิงหาคม แต่ก็เป็นคนแรกที่โดนเปลี่ยนตัวออกในเกมนั้น

 

เฟเดริโก้ แบร์นาร์เดสคี่ (ยูเวนตุส)

ค่าตัว : 40 ล้านยูโร จาก ฟิออเรนติน่า

ลงสนามในลีกให้ทีมใหม่ : ตัวจริง 1 นัด สำรอง 5 นัด

นี่คือผู้เล่นค่าตัวแพงอันดับ 2 ของเซเรีย อา ช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา รองจาก เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ ที่ย้ายจากยูเว่ ไป เอซี มิลาน ด้วยค่าตัว 42 ล้านยูโร คนเดียวเท่านั้น

จากผลงานสุดยอด ยิง 11 แอสซิสต์ 4 ให้ ฟิออเรนติน่า ในลีกซีซั่นก่อน บวกกับค่าตัวมหาศาล ดูเหมือนว่าปีกจอมเลื้อยทีมชาติอิตาลี น่าจะเป็นตัวจริงได้ไม่ยาก

แต่กลายเป็นว่าผู้เล่นอย่าง ฮวน กวาดราโด้ และ ดั๊กลาส คอสต้า ได้โอกาสลงเล่นมากกว่า ทั้งที่ แบร์นาร์เดสคี่ ฝากผลงานสุดยอด ยิง 1 แอสซิสต์ 1 วันที่ลงตัวจริงพาทีมบุกเสมอ อตาลันต้า 2-2 มาแล้ว

วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)

ค่าตัว : 31 ล้านปอนด์ จาก เบนฟิก้า

ลงสนามในลีกให้ทีมใหม่ : สำรอง 1 นัด

เป็นผู้เล่นคนแรกที่ โชเซ่ มูรินโญ่ ดึงมาเสริมทัพเมื่อช่วงซัมเมอร์ แต่ทำไปทำมา คนมาทีหลังอย่าง เนมานย่า มาติช กับ โรเมลู ลูกากู ต่างหาก ที่ถูกเลือกลงเป็นตัวจริงครบทุกนัด

ปราการหลังทีมชาติสวีเดนได้โอกาสลงเล่นเฉพาะเกม UCL ที่เจอคู่แข่งไม่แข็งนักอย่าง เอฟซี บาเซิ่ล และ ซีเอสเคเอ มอสโก รวมถึงศึก คาราบาว คัพ วันที่ยำ เบอร์ตัน อัลเบี้ยน 4-1

แต่สำหรับเกมพรีเมียร์ลีก ไม่รู้ว่าควรนับว่าได้ลงเล่นดีไหม เพราะลงไปเป็นตัวผลาญเวลาในช่วงทดเวลาบาดเจ็บกมแดงเดือด โดยไม่ได้สัมผัสถูกบอลด้วยซ้ำ

 

ฮาเมส โรดริเกซ  (บาเยิร์น มิวนิค)

ค่าตัว : ยืมตัว 2 ปี มูลค่า 13 ล้านยูโร จาก เรอัล มาดริด

ลงสนามในลีกให้ทีมใหม่ : ตัวจริง 1 นัด สำรอง 2 นัด

จริงๆ ฮาเมส ทำได้ดีทีเดียว กับโอกาสลงตัวจริงครั้งเดียวในบุนเดสลีกา เมื่อ ยิง 1 จ่าย 1 พาทีมบุกถล่ม ชาลเก้ 04 ไป 0-3 และโชคร้ายที่ช่วงต้นซีซั่น พลาดลงเล่น เนื่องจากเจ็บเอ็นหลังหัวเข่า

ทว่าเพลย์เมกเกอร์ทีมชาติโคลอมเบีย ไม่ได้ลงสัมผัสเกมอีกเลยตลอด 2 นัดหลัง นับตั้งแต่กุนซือผู้ดึงตัวเขามาอย่าง คาร์โล อันเชลอตติ โดนไล่ออก

แท็กติก 4-2-3-1 ของ จุ๊ปป์ ไฮย์เกส กุนซือใหม่หน้าเก่า ถือว่ายากที่เจ้าตัวจะเบียดแย่ง 11 ตัวจริงกับ โธมัส มุลเลอร์, อาร์เยน ร็อบเบน, คิงสเล่ย์ โกมัน และ ฟร้องค์ ริเบรี่

 

เตโอ เอร์นานเดซ (เรอัล มาดริด)

ค่าตัว : 30 ล้านยูโร จาก แอตเลติโก มาดริด

ลงสนามในลีกให้ทีมใหม่ : ตัวจริง 2 นัด สำรอง 1 นัด

เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่า เรอัล มาดริด ซื้อตัวแบ็กซ้ายดาวรุ่งวัย 20 รายนี้เพื่อใช้งานในระยะยาว แต่ก็น่าสงสัยเหมือนกันว่า อายุแค่นี้ รีบย้ายไปเป็นตัวสำรองทีมใหญ่เร็วไปไหม?

ที่เจ้าตัวฟอร์มเข้าตาทีมแชมป์ยุโรป เพราะซีซั่นก่อนได้ลงตัวจริงถึง 30 นัด ให้ เดปอร์ติโบ อลาเบส ด้วยสัญญายืมตัว

แต่ชีวิตในถิ่น ซานติอาโก้ เบร์นาเบว ที่มี มาร์เซโล่ พร้อมยึดแบ็กซ้ายตัวจริงไปอีกหลายปี คงยากที่เขาจะพัฒนาฝีเท้าให้คุ้มค่าตัวเร็วๆ

 

เฟร์นานโด ยอเรนเต้ (ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์)

ค่าตัว : 15 ล้านปอนด์ จาก สวอนซี ซิตี้

ลงสนามในลีกให้ทีมใหม่ : ตัวสำรอง 3 นัด

คงยากจนถึงขั้นเป็นไปไม่ได้ ที่จะมีใครเบียด แฮร์รี่ เคน แย่งตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าในผัง 11 คนแรกของ สเปอร์ส ไปครอง

นับตั้งแต่ ยอเรนเต้ ย้ายจากทีมหงส์ขาวเข้าสู่ทีมไก่เดือยทอง ในวันสุดท้ายของตลาดนักเตะ เขาได้ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกรวมกันเพียง 22 นาที!!

รายการสำคัญอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หัวหอกสแปนิชก็เป็นแค่ตัวสำรองตลอด 2 นัดแรก โดยได้ลงตัวจริงแค่ศึก คาราบาว คัพ ที่ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ไม่เน้นเท่านั้น

 

ยูริ ตีเลอม็องส์ (โมนาโก)

ค่าตัว : 25 ล้านยูโร จาก อันเดอร์เลชท์

ลงสนามในลีกให้ทีมใหม่ : ตัวจริง 2 นัด สำรอง 5 นัด

จากการที่ทีมแชมป์ ลีก เอิง เสียกองกลางตัวหลักทั้ง แบร์นาร์โด้ ซิลวา และ ติเอมูเอ้ บากาโยโก้ ออกไป ถือว่ากองกลางดาวรุ่งทีมชาติเบลเยียม ควรจะได้โอกาสลงตัวจริงมากกว่านี้

แต่กลายเป็นว่า โรนี่ โลเปส ตัวรุกสารพัดประโยชน์ที่เพิ่งย้ายมาจาก ลีลล์ คือคนที่ได้โอกาสลงตัวจริงครบทุกนัดแทน

ส่วน ชูเอา มูตินโญ่ ก็เปลี่ยนสถานะจากนักเตะโรเตชั่น มาเป็นคีย์แมนแดนกลางเต็มตัวในซีซั่นนี้ ปล่อยให้เจ้าของตำแหน่งแข้งยอดเยี่ยมลีกเบลเยียม ฤดูกาลที่ผ่านมา ต้องซ้อมหนักเพื่อชนะใจ เลโอนาร์โด้ ชาร์ดิม ต่อไป

 

ดาวิเด้ ซัปปาคอสต้า (เชลซี)

ค่าตัว : 27 ล้านปอนด์ จาก โตริโน่

ลงสนามในลีกให้ทีมใหม่ : สำรอง 2 นัด

แบ็กขวาทีมชาติอิตาลี ย้ายมาร่วมทีมในวันสุดท้ายของตลาดนักเตะ และตอนแรก มีการคาดกันว่าน่าจะเบียดแย่งตำแหน่งตัวจริงกับ วิคเตอร์ โมเสส ได้อย่างสนุก

แต่ไปๆ มาๆ เจ้าตัวยังไม่ถูกส่งลงตัวจริงในพรีเมียร์ลีกแม้แต่ครั้งเดียว แม้จะเคยระเบิดฟอร์มสุดยอด ยิง 1 จ่าย 1 ในการลงเล่นครบ 90 นาที วันเปิดบ้านถล่ม คาราบัก 6-0 ในศึก UCL ก็ตาม

วอยเชียค เชสนี่ (ยูเวนตุส)

ค่าตัว : 10 ล้านปอนด์ จาก อาร์เซน่อล

ลงสนามในลีกให้ทีมใหม่ : ตัวจริง 2 นัด

การที่ ยูเวนตุส ทุ่มเงินคว้าจอมหนึบทีมชาติโปแลนด์มาร่วมทีม คือการเตรียมตัวแทนของ จานลุยจิ บุฟฟ่อน ที่ใกล้จะแขวนถุงมือตั้งแต่เนิ่นๆ

ทว่าน่าแปลกใจนิดหน่อยที่ เชสนี่ เลือกที่จะไปนั่งสำรองสโมสรในซีซั่นก่อนฟุตบอลโลก ทั้งที่ 2 ฤดูกาลที่ผ่านมา เขาเป็นมือหนึ่งให้ โรม่า ด้วยสัญญายืมตัว และโชว์ฟอร์มได้โดดเด่นมาก

อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน (ลิเวอร์พูล)

ค่าตัว : 40 ล้านปอนด์ จาก อาร์เซน่อล

ลงสนามในลีกให้ทีมใหม่ : ตัวสำรอง 5 นัด

ชิ่งหนี อาร์เซน่อล ปฏิเสธโอกาสย้ายไป เชลซี เพราะไม่ต้องการเล่นวิงแบ็ก เพื่อหวังมาเล่นกองกลางกับทีมหงส์แดงโดยเฉพาะ แต่จนถึงตอนนี้ ดูเหมือนเจ้าตัวจะคิดผิด

แม้แต่วันที่ ซาดิโอ มาเน่ ไม่สามารถลงเล่นได้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังไม่คิดจะให้เขาลงตัวจริงเป็นปีก ขณะที่แดนกลาง คล็อปป์ มี จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เอ็มเร่ ชาน, จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม และ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ เป็นตัวหลักอยู่แล้ว

แถมผลงานของ ลิเวอร์พูล ตั้งแต่ แชมเบอร์เลน ไปร่วมทีม ก็ตกลงไปจากเดือนสิงหาคมแบบน่าใจหาย เมื่อไม่ชนะใน 2 เกมแรกของรอบแบ่งกลุ่ม UCL ตกรอบ คาราบาว คัพ และชนะในพรีเมียร์ลีกแค่เกมเดียว