Flashback : 11 ทีมฆ่าไม่ตาย แม้พ่ายขาดนัดแรกน็อกเอาต์ UCL

Flashback : 11 ทีมฆ่าไม่ตาย แม้พ่ายขาดนัดแรกน็อกเอาต์ UCL
Flashback : 11 ทีมฆ่าไม่ตาย แม้พ่ายขาดนัดแรกน็อกเอาต์ UCL

11 ทีมที่เคยพลิกสถานการณ์ จากที่แพ้ขาดลอยในนัดแรก กลายเป็นเข้ารอบน็อกเอาต์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อย่างเหลือเชื่อ

ดูเหมือนว่า คู่ชิงชนะเลิศของศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลนี้ มีโอกาสสูงมากที่จะเป็น ลิเวอร์พูล เจอกับ เรอัล มาดริด

ในเกมรอบรองชนะเลิศ นัดแรก ทีมหงส์แดงสามารถเปิดบ้านถล่ม โรม่า ถึง 5-2 ขณะที่ทีมราชันชุดขาว ก็บุกไปอัด บาเยิร์น มิวนิค ถึงถิ่น 2-1

โอกาสที่ทีมหมาป่ากรุงโรมและทีมเสือใต้จะพลิกสถานการณ์ ผ่านเข้าชิงแทนได้นั้น ถือว่ามีต่ำเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรม่า ที่จำเป็นต้องชนะคืนด้วยผลต่างอย่างน้อย 3 ประตูเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ศึก UCL ที่ผ่านๆ มา มีหลายทีมที่เคยพลิกสถานการณ์เข้ารอบน็อกเอาต์ให้เห็น แม้จะแพ้ด้วยสกอร์ขาดลอยในนัดแรก วันนี้เราจึงขอย้อนให้แฟนบอลดูกันว่า มีทีมไหนบ้าง?

 

บาร์เซโลน่า (รอบ 8 ทีมสุดท้ายปี 2000)

ผลนัดแรก : แพ้ เชลซี 3-1 (เยือน)

ผลนัด 2 : ชนะ เชลซี 5-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ (เหย้า)

ริวัลโด้ และ หลุยส์ ฟิโก้ ช่วยกันยิงคนละลูกให้บาร์ซ่านำห่าง 2-0 ก่อนจบครึ่งแรก ทว่าประตูอะเวย์โกลของ ทอเร่ อังเดร โฟล บีบบังคับให้ทีมดังจากสเปนต้องยิงคืนให้ได้สถานเดียว และห้ามเสียประตูอีก หากยังหวังมีลมหายใจต่อไป

ดานี่ ยิงประตูก่อนหมดเวลาปกติเพียง 7 นาที ให้ได้ลุ้นต่อในช่วงต่อเวลา และช่วงเวลาต่อจากนั้น โมเมนตัมทั้งหมดเอียงไปทางบาร์ซ่า จนได้อีก 2 ประตูฝังจาก ริวัลโด้ กับ พาทริค ไคลเวิร์ต

โมนาโก (รอบ 8 ทีมสุดท้ายปี 2004)

ผลนัดแรก : แพ้ เรอัล มาดริด 4-2 (เยือน)

ผลนัด 2 : ชนะ เรอัล มาดริด 3-1 (เหย้า)

เรอัล มาดริด ที่มีทั้ง ซีดาน, ฟิโก้, โรนัลโด้, ราอูล, โรแบร์โต้ คาร์ลอส และ เดวิด เบ็คแฮม ดูไม่น่ามีปัญหาในการผ่านทีมดังจากฝรั่งเศส หลังนัดแรกถล่มมา 4-2 แถมนัด 2 ยังได้อะเวย์โกลอีกลูกจาก ราอูล กอนซาเลซ 

นั่นหมายความว่า โมนาโก จะตกรอบแน่นอน หากไม่สามารถยิงได้ถึง 3 ประตู แต่พวกเขากลับทำได้ และผ่านเข้ารอบด้วยกฎประตูทีมเยือน!!

 

เดปอร์ติโบ ลา กอรุนญ่า (รอบ 8 ทีมสุดท้ายปี 2004)

ผลนัดแรก : แพ้ เอซี มิลาน 4-1 (เยือน)

ผลนัด 2 : ชนะ เอซี มิลาน 4-0 (เหย้า)

หากการพลิกสถานการณ์ของ โมนาโก ว่าน่าทึ่งแล้ว เมื่อมาเจอการโกงความตายของ “ซูเปอร์เดปอร์” เข้าไป ต้องยอมชาบูให้ยิ่งกว่า

ทุกวันนี้แฟนบอลที่ทันดูเกมนั้นยังช็อคไม่หาย ว่าทีมปีศาจแดงดำตกรอบได้ยังไง ทั้งที่สกอร์นัดแรกถล่มเขาแบบขาดลอย แถมยังมีซูเปอร์สตาร์อย่าง อังเดร เชฟเชนโก้, กาก้า, อันเดรีย ปีร์โล่ และ เปาโล มัลดินี่ อยู่ในทีม

 

เชลซี (รอบ 16 ทีมสุดท้ายปี 2012)

ผลนัดแรก : แพ้ นาโปลี 3-1 (เยือน)

ผลนัด 2 : ชนะ นาโปลี 4-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ (เหย้า)

โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ มีเวลาแค่ 10 วัน หลังเข้ามาคุมทีมแทน อันเดร วิลลาช-โบอาช ซึ่งโดนปลดกลางอากาศ ในการเตรียมทีมฝ่าด่านหินครั้งนี้

จุดโทษของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ก่อนหมดเวลา 15 นาที เข็น เชลซี ให้ไปลุ้นต่อในช่วงต่อเวลา และลูกโขกปลิดวิญญาณของ บรานิสลาฟ อิวาโนวิช คือจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่นำพาทัพสิงห์บลูส์ทะลุไปคว้าแชมป์ยุโรปสมัยแรก และสมัยเดียวในหน้าประวัติศาสตร์สโมสร

 

บาร์เซโลน่า (รอบ 16 ทีมสุดท้ายปี 2013)

ผลนัดแรก : แพ้ เอซี มิลาน 2-0 (เยือน)

ผลนัด 2 : ชนะ เอซี มิลาน 4-0 (เหย้า)

ทีมปีศาจแดงดำอาจจะได้ใจที่นัดแรก จัดการเอาชนะทัพ “ต่างดาว” ได้ด้วยสกอร์สวยหรู แถมไม่เสียประตู

แต่ ลิโอเนล เมสซี่ ใช้เวลาเพียงแค่ 40 นาที ในการเหมายิงให้สกอร์รวมกลับมาเท่ากัน ก่อนที่ครึ่งหลัง ดาบิด บีย่า และ จอร์ดี้ อัลบา ช่วยกันกดคนละลูก ทำเอาแฟนมิลานลืมอารมณ์สะใจจากเลกแรกไปเสียสนิท

 

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (รอบ 16 ทีมสุดท้ายปี 2014)

ผลนัดแรก : แพ้ โอลิมเปียกอส 2-0 (เยือน)

ผลนัด 2 : ชนะ โอลิมเปียกอส 3-0 (เหย้า)

ตามหน้าเสื่อแล้ว ทีมปีศาจแดงเหนือกว่าทีมดังจากกรีซหลายขุม เพียงแต่ว่าการมี เดวิด มอยส์ เป็นผู้จัดการทีม กลับกลายเป็นการทำให้การเจอกันของ 2 ทีมนี้สูสีขึ้นมาเฉย

ความพ่ายแพ้แบบอัปยศในเลกแรก เดือดร้อนให้ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ต้องเค้นฟอร์มระเบิดแฮตทริกในเลกสองที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ช่วยให้ทีมไม่ตกรอบด้วยน้ำมือทีมที่ระดับต่ำกว่า

อย่างไรก็ตาม นั่นคือชัยชนะครั้งสุดท้ายของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในรอบน็อกเอาต์ของ แชมเปี้ยนส์ ลีก มาจนถึงทุกวันนี้

เชลซี (รอบ 8 ทีมสุดท้ายปี 2014)

ผลนัดแรก : แพ้ เปแอสเช 3-1 (เยือน)

ผลนัด 2 : ชนะ เปแอสเช 2-0 (เหย้า)

ฤดูกาล 2013-14 เปแอสเช ทำสถิติยิงประตูใน UCL ได้ทุกนัด และไม่เคยแพ้ใครด้วยผลต่างเกิน 1 ประตู ก่อนบุกเยือน สแตมฟอร์ด บริดจ์

ยิ่งตัวความหวังของทีมอย่าง เอแด็น อาซาร์ ดันมาเจ็บตั้งแต่ต้นเกมของเลก 2 เข้าไปอีก การผ่านเข้ารอบของ เชลซี แทบจะเป็นเรื่องหวังลมๆ แล้งๆ ไปเลย

แต่ 2 ตัวสำรองทั้ง อันเดร เชือร์เล่ และ เดมบา บา กลับกลายเป็นฮีโร่ ช่วยกันยิงคนละลูกพาทีมเข้ารอบ และนั่นคือครั้งสุดท้ายที่ทีมสิงห์บลูส์ไปถึงรอบรองชนะเลิศของถ้วยนี้

 

บาเยิร์น มิวนิค (รอบ 8 ทีมสุดท้ายปี 2015)

ผลนัดแรก : แพ้ เอฟซี ปอร์โต้ 3-1 (เยือน)

ผลนัด 2 : ชนะ เอฟซี ปอร์โต้ 6-1 (เหย้า)

จากที่นัดแรกชนะทีมเสือใต้ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มาแบบหล่อๆ แต่แค่จบครึ่งแรกของเกมนัดที่ 2 ทุกอย่างที่ทำมาในเลกแรก แทบไร้ค่าไปเลย

นัดที่ 2 ที่ อัลลิอันซ์ อารีน่า บาเยิร์นนำขาดตั้งแต่ครึ่งแรก 5-0 และด้วยสกอร์มโหฬารขนาดนั้น ปอร์โต้ จึงต้องยอมมอบตัวแต่โดยดี และแพ้ไปด้วยสกอร์โหดแบบที่เห็น

 

เรอัล มาดริด (รอบ 8 ทีมสุดท้ายปี 2016)

ผลนัดแรก : แพ้ โวล์ฟสบวร์ก 2-0 (เยือน)

ผลนัด 2 : ชนะ โวล์ฟสบวร์ก 3-0 (เหย้า)

ซีเนดีน ซีดาน ถูกคนครหาว่าประสบการณ์ยังไม่มากพอที่จะคุมทีมราชันชุดขาว และการพ่ายแพ้ยับเยินที่เยอรมนีก่อนในเลกแรก ยิ่งทำให้แฟนบอลไม่เชื่อมือเขามากขึ้นไปอีก

แต่แฮตทริกของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในเลกสอง พลิกสถานการณ์ให้อะไรกลายเป็นดีไปหมด เพราะหลังจากนั้น ซีดาน พาทีมเข้าไปคว้าแชมป์สมัยที่ 11

 

บาร์เซโลน่า (รอบ 16 ทีมสุดท้าย ปี 2017)

ผลนัดแรก : แพ้ เปแอสเช 4-0 (เยือน)

ผลนัด 2 : ชนะ เปแอสเช 6-1 (เหย้า)

คงเป็นตำนานที่จะถูกเล่าขานไปตลอดกาลแน่นอน จากการที่เป็นทีมแรกและทีมเดียว ที่พลิกสถานการณ์จากแพ้ 4 ประตู และเข้ารอบได้สำเร็จ

จากการที่เสียประตูอะเวย์โกลให้ เอดินสัน คาวานี่ ในนาทีที่ 62 ทำให้บาร์ซ่าต้องยิงอย่างน้อย 3 ประตู และห้ามโดนเพิ่มเท่านั้น ถึงจะได้ไปต่อ และต้องไม่ลืมอีกว่า คู่แข่งคือทีมที่ดีที่สุดของฝรั่งเศส

ทว่าพวกเขากลับปฏิบัติภารกิจ Mission Impossible ได้สำเร็จจริงๆ ทั้งที่นาที 88 สกอร์รวม 2 นัด ยังตามหลัง 3-5 อยู่เลย โดย 2 ประตูสุดท้าย ทำได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ

 

โรม่า (รอบ 8 ทีมสุดท้ายปี 2018)

ผลนัดแรก : แพ้ บาร์เซโลน่า 4-1 (เยือน)

ผลนัด 2 : ชนะ บาร์เซโลน่า 3-0 (เหย้า)

ตัวอย่างล่าสุดที่เพิ่งเกิดขึ้นในรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่ผ่านมานี้เอง ซึ่ง โรม่า จัดการหยุดความหวังที่จะคว้าทริปเปิลแชมป์ในฤดูกาลนี้ของ บาร์เซโลน่า ชนิดที่โลกตะลึงสุดๆ

ทีมหมาป่ากรุงโรมศักยภาพเป็นรองเจ้าของแชมป์ ลา ลีกา หลายขุม แต่การที่ เอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ วางหมากให้บาร์ซ่าเล่นแบบประคองสกอร์ในเลกสอง กลายเป็นเปิดโอกาสให้ โรม่า โจมตีอย่างต่อเนื่อง ก่อนค่อยๆ ยิงคืนทีละลูกจาก เอดิน เชโก้, ดานิเอเล่ เด รอสซี่ (จุดโทษ) และ คอสตาส มาโนลอส จนผ่านเข้ารอบหน้าตาเฉย

ด้วยผลงานที่เคยพลิกเขี่ยเต็ง 1 ของรายการร่วงตกรอบมาแล้ว และยังทำสถิติไม่เคยเสียประตูในบ้านในเกมยุโรปฤดูกาลนี้ ทำให้ โรม่า ยังไม่หมดความหวังที่จะผ่านเข้าชิง และ ลิเวอร์พูล ยังจำเป็นต้องเน้นกับเกมวันพุธนี้ไม่แพ้เกมเลกแรก