รวม 11 นักเตะ ทีมชาติไทย ที่ถูก มิโลวาน ราเยวัช เรียกใช้งานบ่อยที่สุด
ถึงตอนนี้ มิโลวาน ราเยวัช ก็คุม ทีมชาติไทย ครบ 10 นัดพอดีเป๊ะ ก่อนที่ต้นเดือนมิถุนายน จะมีเกมอุ่นเครื่องพบกับยักษ์ใหญ่ของเอเชียอย่าง ทีมชาติจีน รออยู่อีกนัด
เรามาลองดูกันหน่อยว่าตลอดเวลาปีกว่าที่คุม ทัพช้างศึก มานั้นใครที่เฮดโค้ชชาวเซอร์เบียเลือกใช้ลง 11 ตัวจริงบ่อยที่สุด ??
ผู้รักษาประตู : กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ (โอเอช ลูเวิน)
ไม่ว่าใครจะเข้ามาคุม ทีมชาติไทย อย่างไรเสียชื่อของ กวินทร์ ก็ต้องเป็นมือหนึ่งของทีมอย่างแน่นอนหากไม่มีอาการบาดเจ็บ หรือเหตุสุดวิสัยจริงๆ
เจ้าตอง ถูก ราเยวัช เรียกติดทีมชาติทุกครั้งที่มีการแข่งขัน โดยในยุคนี้นายทวารโอเอช ลูเวิน ลงสนามช่วยทีมไปถึง 7 จาก 10 นัด
ยิ่งตอนนี้เห็นได้ชัดเลยว่า นายด่านวัย 28 ปีรายนี้มีลูกกลางอากาศที่ดีขึ้นกว่าเดิมมากหลังกลับมาจากยุโรป และด้วยอายุเพียงเท่านี้เชื่อเถอะว่าอีกหลายปีที่มือหนึ่งของไทยยังไงก็ต้องเป็น กวินทร์
แบ็กซ้าย : พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา (เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด)
นับตั้งแต่ ราเยวัช เข้ามาคุมกลายเป็นว่าชื่อของ พีระพัฒน์ ก้าวมาเป็นแบ็กซ้ายตัวเลือกแรกของทีมในทันที หลังเขาเลือกใช้ ธีราทร บุญมาทัน ขึ้นไปเล่นในแผงมิดฟิลด์ซะมากกว่า
เห็นได้ชัดเลยว่ารายการสำคัญๆ ทั้งคัดบอลโลก และ คิงส์คัพทั้ง 2 ปี เจ้าบาส ลงเล่นเป็นตัวจริงทุกนัดรวม 8 จาก 10 นัดเลยทีเดียว
แม้ช่วงหลังจะถูกแฟนบอลพูดถึงมากทีเดียวว่า ฟอร์มตกลงไปเยอะ จนน่าให้โอกาสคนอื่นดูบ้าง แต่สุดท้ายแล้ว ราเยวัช ก็ยังไว้ใจให้เขารับหน้าที่นี้ต่อไป ด้วยเหตุผลที่ว่าเวลาเก็บตัวน้อย จึงอยากเรียกผู้เล่นที่คุ้นเคยระบบมาก่อน
และบางทีในอนาคตหาก แบ็กซ้ายกิเลนผยอง ยังไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งมาได้ ก็มีโอกาสสูงทีเดียวที่ โก๋อุ้ม จะได้กลับมาเล่นตำแหน่งที่ถนัดสักที
กองหลัง : พรรษา เหมวิบูลย์ (บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด)
หากจะหากองหลังที่ยอดเยี่ยมที่สุดในไทยตอนนี้ชื่อของ พรรษา น่าจะเป็นคนแรกที่แฟนบอลไทยนึกถึงแน่นอน ด้วยความสูงที่เหมาะกับการเล่นเซนเตอร์ แถมร่างกายแข็งแกร่งแบบนี้หาได้ยากเหลือเกินในคนไทย
เจ้าโย่ง เพิ่งก้าวมาติด ทัพช้างศึก ครั้งแรกก็ในยุค ราเยวัช นี่แหละซึ่งเขาก็ไม่เคยทำให้แฟนบอลผิดหวังเลยสักครั้ง
ซึ่ง พรรษา เป็นนักเตะคนเดียวในยุคนี้ที่ลงสนามเป็นตัวจริง และครบทุกนาทีตลอด 10 นัดที่ผ่านมา ด้วยฟอร์มที่ดีขึ้นเรื่อยๆ หลังย้ายมาซบ บุรีรัมย์ ในปีที่แล้ว
และถ้าจะด้วยทุกอย่างที่เขาโชว์ให้เห็นมาตลอด 1 ปีที่ผ่านมาต้องยอมรับเลยว่าแนวรับไทยขาด เจ้าโย่ง ไม่ได้เสียแล้ว
กองหลัง : เฉลิมพงษ์ เกิดแก้ว (นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี)
เป็นอีกคนที่ติดทีมชาติครั้งแรกยุค ราเยวัช เช่นกันแม้จะอยู่ในทีมไม่ได้ใหญ่มากนักอย่าง โคราช แต่ผลงานในลีกก็แสดงให้เห็นแล้วว่า เฉลิมพงษ์ เหมาะกับการเป็นตัวหลัก ช้างศึก จริงๆ
ด้วยสไตล์การเล่นที่โคตรฉลาด ทางบองยอดเยี่ยม ดักเก็บบอลได้บ่อยครั้ง แถมมีลูกวางยาวจากแดนหลังที่แม่นยำอีก
ทำให้การผสานงานกับ พรรษา ได้แบบลงตัวสุดๆ จนต้องมีชื่อติดทีมทุกครั้ง โดยมีเพียง 2 นัดเท่านั้นที่ “เจ้าเหลิม” ไม่ได้ลงเล่นให้ทีมชาติไทยในเกมอุ่นเครื่องกับ เมียนมาร์ และ เคนยา หลังตอนนั้นยังไม่ฟิตมากนัก
แม้จะวัยเข้าสู่เลขสามแล้ว แต่เชื่อเถอะว่า เฉลิมพงษ์-พรรษา จะเป็นตัวหลักของไทยไปอีกสักพักใหญ่เลย
แบ็กขวา : อดิศร พรหมรักษ์ (เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด)
ด้วยสไตล์ ราเยวัช เป็นโค้ชที่เน้นเกมรับรัดกุมมาก่อนเกมรุกอยู่แล้ว ทำให้ อดิศร ปาดหน้าทั้ง ทริสตอง โด และ นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม ขึ้นมาเป้นแบ็กขวาตัวหลักของไทยทันที
ด้วยตำแหน่งถนัดคือ กองหลัง ทำให้ เจ้าเก่ง เป็นแบ็กขวาที่เล่นเกมรับได้อย่างยอดเยี่ยมตอบโจทย์ เฮดโค้ชเซอร์เบียสุด
นอกจากนี้เจ้าตัว ยังมีความเร็ว และความฟิตที่สามารถวิ่งกวดคู่แข่งได้ตลอด 90 นาที น่าเสียดายเหมือนกันที่ อดิศร ได้รับบาดเจ็บซะก่อนทำให้ต้องถอนตัวจากชุดคิงส์คัพ ครั้งล่าสุด ไม่แน่เหมือนกันว่าหากมีเขาอยู่บางทีเกมริมเส้นเราอาจจะแน่นกว่านี้ก็ได้
กองกลาง : ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ (บางกอกกล๊าส เอฟซี)
จะเรียกว่ากลับมาแจ้งเกิดอีกครั้งก็ได้สำหรับ ฐิติพันธ์ หลังกลายเป็นนักเตะที่ ทีมชาติไทย จะขาดไม่ได้เสียแล้ว
เจ้านิว เป็นกองกลางสไตล์ไดนาโมวิ่งขึ้นสุด ลงสุดแบบไม่มีหมด แถมมีความแข็งแกร่งเบียดได้หมดไม่ว่าคู่แข่งจะมาจากประเทศไหนก็ตาม
ดาวเตะค่าตัว 30 ล้านบาทลงตัวจริงให้กับ ช้างศึก ยุค ราเยวัช ถึง 9 นัด เกมเดียวที่เขาอดลงเล่นคือเกมที่บุกแพ้ ออสเตรเลีย 1-2 ในศึกคัดบอลโลก 2018
หลังก่อนหน้านี้เขาติดโทษแบน จากการโดนใบแดงไล่ออกจากสนามในเกมอกับ อิรัก นั่นเอง จริงอยู่ที่ในลีก เจ้านิว จะฟอร์มไม่ค่อยดีนัก
แต่ในระดับชาติแล้ว ฐิติพันธ์ นี่แหละคือกองกลางที่ไทยตามหามานาน และขาดไม่ได้ซะแล้วในตอนนี้
กองกลาง หรือ ปีกซ้าย : สรรวัชญ์ เดชมิตร (ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด)
ก่อนหน้านี้ สรรวัชญ์ มีชื่อติด ทีมชาติไทย มาทุกครั้งที่ ราเยวัช ประกาศราชื่อ เขาถูกส่งลงตัวจริงร่วมกับ ฐิติพันธ์ และ ธนบูรณ์ เกษารัตน์ (ตอนยังไม่เจ็บ) มาโดยตลอดในช่วงแรกในบทบาทจอมทัพช่วงที่ ชนาธิป สรงกระสินธ์ บาดเจ็บ
จุดเด่นของ เจ้าแคมป์ อยู่ที่การคุมเกมแดนกลาง และวางบอลสั้น สลับยาวได้ดี นั่นเองจึงเหมาะกับเกมโต้กลับของไทย ยุคปัจจุบัน จึงไม่แปลกที่เขาจะถูกเรียกติดทีมบ่อยๆ
แม้ว่า สรรวัชญ์ จะไม่มีชื่อติดทีมชุดรองแชมป์คิงส์คัพ 2018 แต่การได้ลงเล่นเป็นตัวจริงถึง 7 นัดที่ผ่านมาก็น่าจะชัดเจนแล้วว่า ราเยวัช ชอบแข้งรายนี้จริงๆ!!
กองกลาง หรือ ปีกซ้าย : ธีราทร บุญมาทัน (วิสเซล โกเบ)
โก๋อุ้ม เป็นอีกคนที่มีชื่อติดทีมทุกครั้งที่ ราเยวัช เรียกนักเตะเข้าแคมป์ ด้วยปัญหาอาการบาดเจ็บทำให้เจ้าตัว พลาดลงสนาม 2 นัดแรก (แพ้ อุซเบกิสถาน, เสมอ ยูเออี)
ก่อนที่ 8 เกมหลังสุดของ ทัพช้างศึก ธีราทร จะถูกส่งลงสนามเป็น 11 ตัวจริงทุกนัด แต่การลงเล่นยุคนี้เขาไม่ใช่แบ็กซ้ายอีกต่อไปแล้ว
เฮดโค้ชชาวเซอร์เบียตัดสินใจดัน โก๋อุ้ม ไปยืนในแผงมิดฟิลด์ที่มีอิสระในการสลับตำแหน่งได้ทั้ง ปีกซ้าย จอมทัพ รวมทั้งถอยลงมาเป็นกลางรับตัวโฮลด์บอลได้ด้วย
จริงอยู่ที่ ธีราทร สามารถยืนตำแหน่งเหล่านี้ได้ แต่เมื่อดูดีๆแล้วดูเหมือนว่าการขึ้นไปเป็นกองกลาง โก๋อุ้ม จะดูมีประสิทธิภาพน้อยลงอย่างชัดเจน
บางทีหากเจ้าตัวได้เล่นแบ็กซ้ายอย่างที่ถนัดจริงๆ ก็น่าจะทำให้เขากลับมาสู่ฟอร์มเทพอีกครั้งก็ได้
เพลย์เมคเกอร์ : ชนาธิป สรงกระสินธ์ (คอนซาโดเล่ ซัปโปโร)
ถ้าจะหานักบอลที่เก่งสุดของไทยเวลานี้แน่นอนว่า ชนาธิป น่าจะเป็นแรกที่แฟนบอลหลายคนนึกถึงแน่นอน เจ้าตัวกลายเป็นตัวหลักของช้างศึกมาตั้งแต่ยุค โค้ชซิโก้ เข้ามาทำงานเลยทีเดียว
จริงอยู่ที่ เมสซี่เจ ได้ลงสนามกับ ทีมชาติไทย ยุคราเยวัช เพียง 4 เกมเท่านั้น แต่นั่นเองก็เพราะอาการบาดเจ็บที่ทำให้ต้องถอนตัวไปถึง 4 เกม
รวมทั้งคิงส์คัพ ปีที่แล้วเหตุผลที่ไม่มีชื่อคือมันนอก ฟีฟ่าเดย์ สมาคมฯจึงอยากให้ ชนาคุง ปรับตัวที่เจลีกไปก่อน
กลับมาดูถึงตอนนี้เรียกได้ว่า ชนาธิป มีเซนต์บอลแซงเพื่อนในทีมทุกคนไปแล้วอีกขั้น ด้วยทักษะ ความสามารถเฉพาะตัวที่ดีอยู่แล้ว บวกกับความแข็งแกร่งที่ได้เพิ่มมาจากญี่ปุ่น
แถมตอนนี้เขาน่าจะเป็นคนเดียวในทีมที่สามารถสร้างสรรค์เกมรุกได้ แม้จะเจอคู่แข่งที่หินสุดๆอย่าง สโลวาเกีย และไม่ว่ายังไงตอนนี้ ชนาธิป ก็ต้องลงเป็นตัวจริงให้กับ ทีมชาติไทย ทุกนัดแบบขาดไม่ได้เลยอีกคน
ปีกขวา : มงคล ทศไกร (โปลิศ เทโร เอฟซี)
แม้จะถูกวิจารณ์เรื่องฟอร์มการเล่นมาโดยตลอดตั้งแต่ปลายยุคของ โค้ชซิโก้ ว่าเอ๊ะ มงคล ไม่น่าติดทีมชาติแล้วหรือเปล่า
แต่กลายเป็นว่า จ่าเย็น นี่แหละคือปีกขวาตัวจริงที่โดนใจ ราเยวัช มากที่สุดหลังถูกเรียกติดทีมมาตลอดเกือบ 1 ปีที่เขาเข้ามาคุมทีม พร้อมส่งลงตัวจริง 9 จาก 10 เกม
นอกจากนี้ มงคล อีกนี่แหละที่เป็นคนยิงประตูให้ทีมชาติไทยคนแรกในยุค ราเยวัช อีกด้วย ด้วยสไตล์การเล่นแบบวิ่งสู้ฟัด ช่วยเกมรับได้ดี แถมหาพื้นที่เข้าไปยิงประตูได้ดีสุดๆ
อีกทั้งเป็นนักเตะที่เล่นตามแท็คติกได้ดีเหลือเกิน ก็คงไม่แปลกอะไรที่ จ่าเย็น จะกลายเป็นแข้งที่โค้ชทีมชาติชอบสุดๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องเตรียมคือ ตัวสำรองให้ มงคล ช่วงครึ่งหลังหน่อย เพราะการใช้แรงเต็มที่แบบนี้ ทำให้อยู่ไม่ค่อยครบ 90 นาทีนัก
กองหน้า : ธีรศิลป์ แดงดา (ซานเฟรซเซ่ ฮิโรชิม่า)
ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะเปลี่ยนโค้ชไปกี่คน ธีรศิลป์ แดงดา ก็คือกองหน้าที่ต้องติดทีมชาติไทยมาโดยตลอดตั้งแต่อายุไม่ถึง 20 ด้วยซ้ำ
เห็นได้ชัดเลยว่าขนาด เทพมุ้ย เจ็บในช่วงแรกๆของ ราเยวัช ยังต้องหนีบเขาติดทีมไปด้วยเลย แม้สุดท้ายจะไม่สามารถลงช่วยทีมได้ก็ตาม
ด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่ เบียดสู้ต่างชาติได้ดี เลี้ยงเองก็ได้ จ่ายก็ดี แถมจบสกอร์ได้คมอีก เรียกได้ว่าในไทยตอนนี้ไม่มีใครโหดเท่าแล้ว
แถมตอนนี้ ยังได้ไปลุยญี่ปุ่นกับ ซานเฟรซเซ่ ฮิโรชิม่า อีกทำให้การกลับมาล่าสุด เทพมุ้ย ดูจะเก่งขึ้นกว่าเดิมอยู่เหมือนกัน
แต่ด้วยวัยที่กำลังจะเข้าสู่เลขสามแล้ว บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าเมื่อถึงเวลาหนึ่ง ทัพช้างศึกของเราจะมีใครมาทดแทนได้หรือเปล่า??
และนี่ก็เป็น 11 ตัวจริงของ ทีมชาติไทย ที่ดูแล้ว มิโลวาน ราเยวัช จะเลือกใช้งานมากที่สุดตลอด 1 ปีที่เข้ามารับงานกุนซือ
แม้ว่าบางทีอาจจะเรียกนักเตะมาไม่ถูกใจแฟนบอลอย่างเราๆ บ้าง หรือผลงานอาจจะขัดใจไปบ้าง แต่เชื่อเถอะว่าเมื่อไหร่ที่ ทีมชาติไทย ลงสนาม แฟนบอลไทยทั้งประเทศก็พร้อมเสมอที่จะอยู่เคียงข้างพวกคุณทุกคน!!
