Fact หลังเกม : 5 จุดเห็นชัด หลังปืนใหญ่ทุบสิงห์ 2-0 บิ๊กแมตช์พรีเมียร์

Fact หลังเกม : 5 จุดเห็นชัด หลังปืนใหญ่ทุบสิงห์ 2-0 บิ๊กแมตช์พรีเมียร์
Fact หลังเกม : 5 จุดเห็นชัด หลังปืนใหญ่ทุบสิงห์ 2-0 บิ๊กแมตช์พรีเมียร์

5 จุดที่เห็นได้ชัดจากเกมบิ๊กแมตช์พรีเมียร์ลีก ที่ อาร์เซน่อล ชนะ เชลซี 2-0

การลุ้นแย่งพื้นที่ไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้าของบรรดาทีมดังในศึกพรีเมียร์ลีกดูจะน่าติดตามมากขึ้น หลังจาก อาร์เซน่อล ลดช่องว่างที่ตามหลังอันดับ 4 อย่าง เชลซี เหลือเพียง 3 แต้ม เมื่อเปิดบ้านเอาชนะทีมสิงห์บลูส์ได้ 2-0 ในเกมบิ๊กแมตช์ที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา

ทีมปืนใหญ่ได้ 2 ประตูตั้งแต่ครึ่งแรกจาก อเล็กซองด์ ลากาแซ็ตต์ และ โลร็องต์ กอสซิแอลนี่ ซึ่งแม้ครึ่งหลัง เจ้าถิ่นจะผ่อนเกมลงไป แต่ทีมเยือนก็ไม่สามารถตีไข่แตกกลับมาได้ ซึ่ง เมาริซิโอ ซาร์รี่ ยังมีการบ้านต้องกลับไปแก้ไขอีกมาก หากยังหวังจะพา เชลซี กลับมาทำผลงานได้ดีอีกครั้งในช่วงที่เหลือของซีซั่นนี้

และนี่คือ 5 บทสรุปสำคัญ ที่เห็นได้ชัดเจนจากเกมเมื่อคืนนี้

 

1. “ลากาแซ็ตต์” ต้องตัวจริงถึงเวิร์ค

อเล็กซองด์ ลากาแซ็ตต์ ซึ่งเป็นผู้ทำประตูแรกของเกมนี้ให้ อาร์เซน่อล แสดงให้เห็นถึงความเป็นดาวยิงชั้นยอด เมื่อโชว์ทักษะพลิกบอลเข้าไปยิงมุมแคบอย่างเด็ดขาด

ซึ่งนอกจากเป็นคนยิงประตูปลดล็อคให้ทีมแล้ว หัวหอกชาวฝรั่งเศสยังสร้างโอกาสลุ้นสวยๆ ให้ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง เกือบซัดนำก่อนตั้งแต่ต้นเกม, หาจังหวะยิงรวมกันตลอดเกมได้ 3 หน และยังมีสถิติการดวลชนะลูกกลางอากาศอีก 2 ครั้ง ถือเป็นนักเตะที่ปั่นป่วนแนวรับ เชลซี ได้ดีที่สุดในเกมนี้

จาก 5 นัดหลังสุดที่ ลากาแซ็ตต์ ลงตัวจริงให้ทีมปืนใหญ่ในลีก เจ้าตัวมีส่วนกับการทำประตูถึง 4 นัด (ยิง 2 แอสซิสต์ 2)

ขณะที่ 8 เกมที่เขาไม่ได้ออกสตาร์ทให้ต้นสังกัด อาร์เซน่อล แพ้ไปถึง 4 นัด โดยจาก 8 ประตูที่ซัดในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ เขายิงในฐานะตัวจริงถึง 7 ลูก

นั่นจึงน่าจะเป็นหลักฐานว่า อูไน เอเมรี่ ควรให้ ลากาแซ็ตต์ ลงเป็น 11 คนแรก มากกว่าจะหวังใช้เป็นซูเปอร์ซับเหมือนอย่างหลายๆ นัดก่อนหน้านี้

และอาจจะดียิ่งกว่านี้อีก ถ้าให้โอกาสอยู่ในสนามนานๆ หน่อย เพราะเขามักเป็นผู้เล่นคนแรกๆ ที่ถูกเปลี่ยนตัวออก โดยในเกมชนะ เชลซี นัดล่าสุด หลังจากปืนใหญ่ถอดหัวหอกเจ้าของเสื้อหมายเลข 9 ออกไป ก็แทบไม่มีโอกาสลุ้นประตูเสียวๆ อีกเลย

 

2. “ซาร์รี่บอล” แพ้ “เกมเพรสซิ่ง” เห็นๆ

ดูเหมือนว่า ณ​ ตอนนี้ คู่แข่งทุกทีมในพรีเมียร์ลีกเริ่มจับทางแท็กติกของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ได้หมดแล้ว ซึ่งทั้ง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์, วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส, เลสเตอร์ ซิตี้ มาจนถึง อาร์เซน่อล เมื่อคืนนี้ ต่างใช้วิธี “เพรสซิ่งเร็ว” เข้าใส่ เชลซี จนตั้งเกมไม่ถนัดทั้งหมด ก่อนหาจังหวะโจมตีเร็ว และได้ประตูที่ต้องการ

ซาร์รี่ ถูกวิจารณ์อย่างมาก จากการดึงดันใช้งาน จอร์จินโญ่ ซึ่งเป็นนักเตะที่ค่อนข้างช้าเป็นหัวใจในการเดินเกมจากแดนกลาง แม้หลายๆ นัด เกมของ เชลซี จะไปไม่เป็น เมื่อคู่แข่งใช้วิธีวิ่งบีบเร็วเข้าหากองกลางทีมชาติอิตาลีรายนี้ก็ตาม

บางที อดีตกุนซือนาโปลี น่าจะลองพิจารณาถึงการถอย เอ็นโกโล่ ก็องเต้ กลับไปทำหน้าที่มิดฟิลด์ตัวตัดเกมที่ถนัดอีกครั้ง แล้วหากองกลางสไตล์ “บ็อกซ์ ทู บ็อกซ์” ที่แท้จริงมาขับเคลื่อนเกมแทนบ้าง เพราะเชื่อว่าทีมปืนใหญ่คงไม่ใช่ทีมสุดท้ายแน่นอน ที่ใช้วิธีการบีบใส่ จอร์จินโญ่ เพื่อทำลายเกมของ เชลซี อย่างที่หลายๆ ทีมใช้ได้ผลมาแล้วในซีซั่นนี้

 

3. เชลซีต้องหากองหน้าโป้งปิดบัญชีมาโดยด่วน!!

เชลซี ต้องใช้ เอแด็น อาซาร์ รับบทกองหน้าตัวเป้าแบบ “ฟอลส์ ไนน์” ถึง 6 นัดจาก 8 เกมหลังสุดในพรีเมียร์ลีก ซึ่งแม้จะเป็นการทำให้สตาร์ดังทีมชาติเบลเยียมไม่ได้แสดงศักยภาพที่ดีที่สุดออกมา แต่นั่นเป็นเพราะทีมสิงโตน้ำเงินคราม ไม่มีกองหน้าตัวเป้าที่ไว้ใจได้จริงๆ จังๆ เลย

หนสุดท้ายที่ เชลซี ได้ประตูจากนักเตะที่เป็นศูนย์หน้าอาชีพ ต้องย้อนไปถึงเกมที่บุกแพ้ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 1-3 ซึ่ง โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ทำประตูตีไข่แตก ก่อนที่หลังจากนั้นมาอีก 10 นัดติดต่อกันในลีก คนที่ยิงได้ถ้าไม่ใช่ อาซาร์ ก็ล้วนเป็นกองกลาง หรือไม่ก็ตัวรุกริมเส้นทั้งสิ้น

โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ กับ อัลบาโร่ โมราต้า ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้รวมกันได้แค่ 6 ประตู เท่านั้น น้อยกว่ากองหน้าที่ถูกล้อว่าปืนฝืดบ่อยๆ อย่าง โรเมลู ลูกากู ของ แมนฯ ยูไนเต็ด หรือหัวหอกทีมหนีตกชั้นอย่าง อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช ของ ฟูแล่ม ที่ซัดไปแล้ว 8 ลูก เสียอีก

สุดท้ายพอ เชลซี ต้องเล่นโดยไม่มีตัวจบสกอร์ที่แท้จริงในเขตโทษ ทำให้คู่แข่งป้องกันได้ง่ายขึ้นเยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในวันที่ อาซาร์ ถูกจำกัดพื้นที่ไม่ให้เล่นได้ถนัด เกมรุกของทีมสิงโตน้ำเงินครามก็ยิ่งไม่อันตรายอะไรเลย โดยเมื่อคืนนี้ทีมของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ มีโอกาสยิงเข้ากรอบแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จาก มาร์กอส อลอนโซ่

ถึงตอนนี้ เมาริซิโอ ซาร์รี่ คงต้องหวังให้สโมสรเร่งปิดดีลคว้าตัว กอนซาโล่ อิกวาอิน มาช่วยล่าตาข่ายให้ได้โดยเร็วที่สุด เพราะเห็นได้ชัดว่าแนวรุกสิงห์บลูส์ตอนนี้ ไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมยิงประตูแบบมั่นใจเลยสักคน

 

4. “ซาร์รี่” ไม่ยอมปรับแท็กติกตัวเอง

ไม่ว่าจะเกมไหน หรือสถานการณ์ใด เมาริซิโอ ซาร์รี่ ไม่เคยเปลี่ยนแท็กติกตัวเองจาก 4-3-3 ไปเป็นแบบอื่นเลย และถ้าเขาจะเปลี่ยนตัว ก็จะเปลี่ยนตัวแบบตำแหน่งต่อตำแหน่ง ยังไม่มีการพลิกแพลงรูปแบบการเล่นเท่าไรนัก

11 ตัวจริงของ เชลซี ถือว่าคาดเดาได้ง่ายที่สุดแล้วในบรรดาทุกทีมของพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ก็ว่าได้ ซาร์รี่ จะไม่เปลี่ยนแบ็กทั้งสองข้าง และไม่ว่ายังไงก็จะต้องให้ จอร์จินโญ่ คือตัวคุมจังหวะเกมเสมอ ทั้งที่จริงๆ แล้วถ้าเขากล้าเปลี่ยน ทีมอาจจะบุกได้มีมิติมากกว่านี้ก็ได้ ในช่วงที่เกมตื้อๆ

แม้แต่แฟนบอลทางบ้านก็ยังเดาออกไม่ยาก ว่าถ้า ซาร์รี่ จะเปลี่ยนตัว เขาจะเปลี่ยนยังไง และใช้ใครลงแทน

หนึ่งคือตำแหน่งกองกลางฝั่งซ้าย จะใช้ มาเตโอ โควาซิช กับ รอสส์ บาร์คลี่ย์ สลับกัน

และสองคือในแนวรุก เปโดร โรดริเกซ กับ วิลเลี่ยน มักจะโดนถอดออกเสมอ เพื่อให้กองหน้าตัวเป้า กับตัวรุกริมเส้นลงไปแทน ส่วน เอแด็น อาซาร์ จะโดนเปลี่ยนตัวออกในสถานการณ์ที่ทีมมั่นใจว่าจะคว้าชัยชนะได้แล้ว เพื่อถนอมร่างกายเท่านั้น

ด้วยรูปแบบการเล่นที่ไม่หลากหลาย และหวังพึ่งความสามารถเฉพาะตัวของ อาซาร์ มากเกินไป เราจึงเห็นได้ว่าคู่แข่งหาทางรับมือ เชลซี ได้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ และน่าเป็นห่วงว่าทีมสิงห์บลูส์อาจจะมีช่วงสะดุดให้เห็นอีกในฤดูกาลนี้

 

5. “โอซิล” ไม่ใช่ตัวเลือกแรกทีมปืนใหญ่อีกแล้ว

เมซุต โอซิล มีชื่อเป็นตัวสำรองในเกมนี้ แต่ไม่ถูกส่งลงสนามแม้แต่วินาทีเดียว ยิ่งเป็นการตอกย้ำชัดเจนเข้าไปอีกว่า อดีตจอมทัพทีมชาติเยอรมนี ไม่ใช่ผู้เล่นคนสำคัญของ อูไน เอเมรี่ อีกต่อไปแล้ว

แท็กติกของกุนซือชาวสเปนิช ต้องการผู้เล่นที่บีบเพรสซิ่งคู่แข่งได้ดี ซึ่งไม่ใช่งานที่ดาวเตะวัย 30 ปีถนัด

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวลืออย่างหนักว่า เอเมรี่ ต้องการให้ โอซิล ย้ายออกจากทีม เพราะต้องการนำเงินมาเสริมทัพในตำแหน่งอื่น แต่นักเตะยังต้องการพิสูจน์ตัวเองต่อไป เพราะช่วงที่ผ่านมาเจ้าตัวยังฟิตไม่เต็มร้อยด้วย การถูกบีบให้ย้ายทีมจึงไม่แฟร์กับเขานัก

น่าจับตาดูว่า ในศึก เอฟเอ คัพ สุดสัปดาห์หน้า ที่ อาร์เซน่อล จะต้องเจอกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อดีตดาวเตะ เรอัล มาดริด จะได้โอกาสกลับมาเป็นตัวจริงหรือไม่ เพราะหากยังโดนจับนั่งอีก ก็ยิ่งฟ้องชัดกว่าเดิม ว่าสถานะของเขาตอนนี้คือ “อะไหล่สำรอง” เต็มตัว

ชัยชนะของ อาร์เซน่อล นัดนี้ ที่เปิดเผยจุดอ่อนของ เชลซี ออกมาชัดเจนยิ่งขึ้น ทำให้พวกเขามีโอกาสสดใสที่จะติดท็อปโฟร์ 

เพราะคู่แข่งสำคัญอีกทีมอย่าง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ก็กำลังเจอปัญหาขาดตัวความหวังในแดนหน้า ทั้ง แฮร์รี่ เคน ที่ต้องพักรักษาอาการเจ็บข้อเท้านานกว่า 1 เดือน และ ซน ฮึง-มิน ที่ต้องไปช่วยทีมชาติทำศึก เอเชียน คัพ

อย่างไรก็ตาม ทีมปืนใหญ่ต้องระวัง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่คืนชีพอีกครั้งภายใต้การคุมทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ไว้ด้วยเช่นกัน เพราะด้วยแต้มที่เท่ากัน นั่นหมายความว่า อาร์เซน่อล ก็มีโอกาสอันดับตกเหมือนกันเมื่อพลาดในวันที่ผีแดงชนะ

บางทีช่วงต่อจากนี้ ทีมอันดับ 4 อาจจะสลับสับเปลี่ยนกันทุกสัปดาห์ก็เป็นได้…