รู้ไหมใครบ้าง? 9 ทีมคว้าแชมป์ลีก ในปีที่ไม่ได้เล่นบอลยุโรป รอบ 20 ปีหลัง

รู้ไหมใครบ้าง? 9 ทีมคว้าแชมป์ลีก ในปีที่ไม่ได้เล่นบอลยุโรป รอบ 20 ปีหลัง
รู้ไหมใครบ้าง? 9 ทีมคว้าแชมป์ลีก ในปีที่ไม่ได้เล่นบอลยุโรป รอบ 20 ปีหลัง

9 สโมสรจาก 5 ลีกดัง ที่คว้าแชมป์ลีกสูงสุด ในฤดูกาลที่อดเล่นฟุตบอลยุโรป

ช่วงกลางสัปดาห์เช่นนี้ ศึกฟุตบอลสโมสรยุโรปทั้งถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และ ยูโรปา ลีก ต่างหวดกันโครมๆ ชนิดที่แฟนบอลได้ดูกันตาแฉะ

ฤดูกาลนี้มีทีมดังบางทีม ที่ไม่ได้ลงแข่งทั้ง 2 รายการดังกล่าว แต่ก็กำลังทำผลงานได้ดี อย่างเช่น อินเตอร์ มิลาน ของ เซเรีย อา อิตาลี และอาจรวมถึง ชาลเก้ 04 ที่ผลงานไม่เลวในบุนเดสลีกา

บางทีการที่ไม่ต้องมีโปรแกรมออกไปแข่งกับใครนอกประเทศ อาจเป็นผลดีต่อสมาธิในการลุ้นแชมป์ก็ได้

เหมือนอย่างที่ 9 ทีมดังต่อไปนี้ เคยคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จมาแล้ว ในปีที่ได้ลงเตะแต่ในประเทศตัวเองเท่านั้น!!

 

เรอัล มาดริด (ฤดูกาล 1996-97)

ฤดูกาล 1996-97 เป็นเพียงครั้งเดียวในรอบ 40 ปี ที่เจ้าของสถิติแชมป์ยุโรป 12 สมัย ได้แค่เล่นแต่รายการในประเทศตัวเอง หลังได้แค่อันดับ 10 ใน ลา ลีกา ฤดูกาล 1995-96

เดือนกรกฎาคม 1996 ฟาบิโอ คาเปลโล่ ยอดกุนซือที่เพิ่งพา เอซี มิลาน คว้าแชมป์ เซเรีย อา ก้าวเข้ามาคุมทีม พร้อมดึงดาวดังอย่าง โรแบร์โต้ คาร์ลอส, ดาวอร์ ซูเคอร์, เปรแดร็ก มิยาโตวิช, คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ, โบโด อิล์กเนอร์ และ คริสเตียน ปานุชชี่ พาทีมทวงแชมป์ทันควัน

…แม้ตอนจบ คาเปลโล่ จะต้องกลับไปคุมมิลานอีกครั้ง เพราะมีปัญหากับประธานสโมสร ณ ตอนนั้นอย่าง ลอเรนโซ่ ซานซ์ ก็ตาม

 

ล็องส์ (ฤดูกาล 1997-98)

ล็องส์ จบฤดูกาลแค่อันดับ 13 ในซีซั่น 1996-97 แต่ปีถัดมา พวกเขาได้แชมป์ลีกสูงสุดสมัยแรกและสมัยเดียวในประวัติศาสตร์ ด้วยการมีผลต่างประตูได้-เสีย เหนือกว่า เม็ตซ์ เพียงแค่ 5 ประตู เท่านั้น

เกมนัดปิดท้ายซีซั่น เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 1998 เป็นวันที่ขุนพลและแฟนบอลของ ล็องส์ ในวันนั้นทุกคน จะไม่มีทางลืมไปจนชั่วชีวิต เมื่อบุกเสมอ โอแซร์ 1-1 โดยได้ประตูตีเจ๊าจาก โยอันน์ ลาชอร์ก ในครึ่งหลัง

และน่าแปลกใจไม่น้อย ที่ใน ฟุตบอลโลก ฟร้องซ์ 98 ไม่มีนักเตะของ ล็องส์ ชุดนั้น เข้าร่วมแม้แต่คนเดียว!!

เอซี มิลาน (ฤดูกาล 1998-99)

หลังจาก ฟาบิโอ คาเปลโล่ ชิ่งทีมไปคุม เรอัล มาดริด ยาว 1 ฤดูกาลเต็มๆ เขากลับมาคุมทีมอีกครั้งในซีซั่น 1997-98 แต่กลับพาทีมจบแค่อันดับ 10 ไม่ได้แชมป์อะไรเลย และแน่นอนว่าเขาต้องโดนไล่ออก

อัลแบร์โต้ ซัคเคโรนี่ เข้ามาทำทีมแทน โดนหนีบ 2 ลูกน้องเก่าที่ อูดิเนเซ่ อย่าง โอลิเวอร์ เบียร์โฮฟ กับ โธมัส เฮลเว็ก ติดสอยห้อยตามไปด้วย และพาปีศาจแดงดำเป็นแชมป์ทันทีในปีแรกที่คุม

ฤดูกาล 1998-99 ศึกกัลโช่ต้องตัดสินกันจนนัดสุดท้าย ซึ่งคู่แข่งลุ้นแชมป์อย่าง ลาซิโอ ชนะ ปาร์ม่า ได้ 2-1

ทว่ามิลานไม่พลาดบุกเก็บ 3 แต้มจาก เปรูจา ด้วยสกอร์เดียวกัน จึงซิวสคูเด็ตโต้ไปครอง ด้วยคะแนนมากกว่าเพียงแต้มเดียว

 

แวร์เดอร์ เบรเมน (ฤดูกาล 2003-04)

“เจ้านกนางนวล” คว้าอันดับ 6 บุนเดสลีกา ฤดูกาล 2002-03 ทำให้ได้สิทธิ์ไปลุยศึก อินเตอร์โตโต้ คัพ ที่ถือเป็นรายการคัดเลือกของ ยูฟ่า คัพ 

แต่พวกเขาก็โดน พาสชิ่ง จากออสเตรีย ถีบตกรอบรองชนะเลิศตั้งแต่ยังไม่เปิดซีซั่น จึงต้องลงแข่งแค่ในประเทศตัวเองเท่านั้นตลอดทั้งฤดูกาลที่เหลือ

อย่างไรก็ตาม ซีซั่น 2003-04 ถือเป็นปีที่พีคที่สุดในประวัติศาสตร์ของ เบรเมน เพราะเหมาทั้งแชมป์บุนเดสลีกา และ เดเอฟเบ โพคาล และนั่นคือครั้งสุดท้ายที่พวกเขาได้แชมป์ลีกสูงสุดเยอรมัน

ไอล์ตัน หัวหอกร่างตันชาวบราซิล ครองดาวซัลโวบุนเดสลีกา ด้วยผลงาน 28 ประตู ขณะที่คู่หูอย่าง อิวาน คลาสนิช กดไป 13 ลูก ซึ่งทั้งคู่ช่วยกันยิงคนละเม็ด พาทีมบุกดับ บาเยิร์น มิวนิค 3-1 ในนัดที่ 36 การันตีแชมป์ลีกทันที ก่อนจะปล่อยชิลล์แพ้รวดใน 2 เกมสุดท้าย

 

สตุ๊ตการ์ท (ฤดูกาล 2006-07)

หลังจาก แวร์เดอร์ เบรเมน ซิวถาดบุนเดสลีกาปี 2004 อีก 2 ปีถัดจากนั้น บาเยิร์น มิวนิค ก็กลับไปผูกขาดความยิ่งใหญ่อีกรอบ

จนกระทั่งปี 2006 การเข้าไปคุมทีมม้าขาวของ อาร์มิน เฟห์ เปลี่ยนชะตา สตุ๊ตการ์ท เขาพาทีมที่กำลังแย่ รอดตกชั้นแบบสบายๆ ก่อนผงาดครองแชมป์ด้วยการปราบเสือใต้ราบคาบ ในซีซั่นถัดมาทันที

ฤดูกาลนั้น นักเตะจากอะคาเดมี่ของสโมสรอย่าง ซามี่ เคดิร่า กับ มาริโอ โกเมซ กลายเป็นยอดแข้งที่ดังกระฉ่อนยุโรป

ส่วนนักเตะจากต่างทวีปที่ซื้อเข้ามาใหม่อย่าง อาร์กตูร์ โบก้า, พาเวล ปาร์โด้ และ ริคาร์โด้ โอโซริโอ ต่างก็นัดกันท็อปฟอร์มพร้อมๆ กัน

 

มงต์เปลลิเย่ร์ (ฤดูกาล 2011-12)

เป็นแชมเปี้ยนแบบนอกสายตาแท้จริงของวงการฟุตบอลฝรั่งเศส เพราะฤดูกาล 2010-11 พวกเขามีคะแนนห่างโซนตกชั้นแค่ 3 แต้ม แต่ฤดูกาลถัดมากลับคว้าแชมป์เฉย!!

โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ในทันใด หลังคว้าตำแหน่งดาวซัลโวด้วยผลงาน 21 ประตู ก่อนย้ายสู่ อาร์เซน่อล ทันทีในซีซั่นถัดมา

และหลังจากเสีย ชิรูด์ ไป พวกเขาก็ไม่เคยเฉียดพื้นที่ไปเล่นฟุตบอลยุโรปได้อีกเลย…

 

ยูเวนตุส (ฤดูกาล 2011-12)

หลังโดนปรับตกชั้น เพราะมีส่วนพัวพันกับการล้มบอลในปี 2006 ทีมม้าลายต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ กว่าจะยกระดับกลับมาเป็นเต้ยของอิตาลี เหมือนอย่างเช่นทุกวันนี้

การไม่ได้เล่นฟุตบอลยุโรปสักรายการ ในฤดูกาล 2011-12 กลายเป็นทำให้ ยูเวนตุส มีสมาธิมากขึ้นในการทวงสคูเด็ตโต้ที่หายไปนานกลับคืน

แม้ส่วนหนึ่งที่ยูเว่คว้าแชมป์ปีนั้นแบบสบายๆ เพราะ มิลาน เสียตัวหลักอย่าง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช, ติอาโก้ ซิลวา ให้ เปแอสเช รวมถึงปล่อยให้ อันเดรีย ปีร์โล่ ย้ายไปคุมแดนกลางยูเว่แบบฟรีๆ

แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า การทำสถิติ “ไร้พ่าย” ในเกมลีกตลอดฤดูกาล และป้องกันแชมป์มาอย่างยาวนานจนถึงซีซั่นล่าสุด ยูเวนตุส คู่ควรกับการยอมรับว่าเป็นยอดทีมอย่างแท้จริง

 

เลสเตอร์ ซิตี้ (ฤดูกาล 2015-16)

เป็นแชมป์ที่ช็อควงการที่สุดทีมหนึ่งในประวัติศาสตร์ เพราะฤดูกาล 2014-15 ต้องหนีตายอย่างหนัก แถมก่อนเปิดซีซั่น 2015-16 อัตราต่อรองว่าจะเป็นแชมป์ สูงถึง แทง 1 จ่าย 5,000

เคลาดิโอ รานิเอรี่ กุนซือที่ไม่ค่อยมีใครเชื่อมือนัก พาทีมเล่นในสไตล์วิ่งสู้ฟัด โต้กลับโหด โดย ริยาด มาห์เรซ กลายเป็นนักเตะยอดเยี่ยมทุกสถาบัน ส่วน เจมี่ วาร์ดี้ ทำสถิติยิงในพรีเมียร์ลีกติดต่อกันยาวนานที่สุด (11 เกมซ้อน)

รานิเอรี่ ที่โดนไล่ออกในซีซั่นถัดมาหลังพาทีมทำผลงานแย่ พูดถึงแชมป์ครั้งนี้ว่าเป็นเหมือนความฝัน และเรื่องแบบนี้่มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกแล้ว ในลีกที่มียักษ์ใหญ่ลุ้นแชมป์มากถึง 6 ทีม

 

เชลซี (ฤดูกาล 2016-17)

ฤดูกาล 2015-16 จากปัญหาภายในสโมสรที่ โชเซ่ มูรินโญ่ ก่อขึ้น หลังจากนั้นผลการแข่งขันก็ค่อยๆ ตกลง จนความหวังไปเล่นฟุตบอลยุโรปหลุดลอยไปตั้งแต่ยังไม่ถึงครึ่งซีซั่น

ด้วยเหตุนี้ฤดูกาลถัดมา อันโตนิโอ คอนเต้ ที่ถูกจ้างไปคุมทีมแทนคนรักษาการอย่าง กุส ฮิดดิ้งค์ จึงได้ทำงานปีแรก โดยไม่ต้องออกไปแข่งนอกประเทศเลย

แม้จะเริ่มซีซั่นแบบกระท่อนกระแท่น แต่นับตั้งแต่แพ้ อาร์เซน่อล ยับ 3-0 กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อ คอนเต้ ปรับแผนเป็น 3-4-3 พาทีมชนะติดต่อกัน 13 นัดรวด

ก่อนที่หลังจากนั้น เชลซี จะเข้าป้ายคว้าแชมป์ด้วยสถิติชนะมากทีี่สุดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลเดียว (30 เกม)