ฤดูกาลนี้ ถือว่ามีนักเตะดังหลายคนใน 5 ลีกใหญ่ยุโรปที่เปลี่ยนหมายเลขเสื้อที่ลงรับใช้ต้นสังกัด
ซึ่งที่ผ่านมา มีนักเตะหลายคนที่เปลี่ยนเบอร์เสื้อแล้วทำผลงานดีขึ้นกว่าเดิม อย่างเช่น 10 แข้งดังต่อไปนี้
ตอนที่สตาร์ทีมชาติอาร์เจนตินาใส่เบอร์ 19 เขาไม่เคยได้แชมป์ ลา ลีกา (แต่ได้ 2 ครั้งตอนใส่เบอร์ 30) ทว่าพอปรับมาใส่เบอร์ 10 สถานะของ เมสซี่ เปลี่ยนสถานะจากสุดยอดดาวรุ่ง กลายเป็นนักเตะระดับโลกเต็มตัว
แค่ปีแรกที่สวมเบอร์ 10 เจ้าตัวก็เป็นกำลังหลักพาต้นสังกัดคว้าแชมป์ทุกรายการ และคว้ารางวัล บัลลง ดอร์ มาครอง ก่อนจะได้เพิ่มอีกถึง 4 ครั้ง และยังพาบาร์ซ่ากวาดแชมป์อีกนับไม่ถ้วนจนถึงปัจจุบัน
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (สมัยอยู่กับ เรอัล มาดริด)
จากเบอร์ 9 เป็นเบอร์ 7 (ฤดูกาล 2010-11)
ฤดูกาล 2009-10 ซึ่งเป็นซีซั่นแรกที่ย้ายเข้าสู่ถิ่น ซานติอาโก้ เบร์นาเบว เขาต้องสวมหมายเลข 9 เพราะเบอร์ 7 ยังตกเป็นของอดีตดาวยิงตำนานสโมสรอย่าง ราอูล กอนซาเลซ
โรนัลโด้ อาจทำผลงานได้ยอดเยี่ยม เมื่อยิงไปถึง 33 ประตู จากการลงสนาม 35 นัดรวมทุกรายการ แต่ฤดูกาลนั้น ทีมราชันชุดขาวไม่อาจคว้าแชมป์รายการใดได้เลย
จนกระทั่งซีซั่นถัดมาที่ ราอูล ย้ายไป ชาลเก้ 04 เสื้อเบอร์ 7 ก็ตกเป็นของซูเปอร์สตาร์ทีมชาติโปรตุเกส เขาได้แชมป์แรกกับมาดริดคือ โกปา เดล เรย์ ปี 2011
ก่อนที่เวลาถัดมาจะกวาดแชมป์ใหญ่ๆ อย่าง ลา ลีกา อีก 2 สมัย, แชมป์ยุโรปอีก 4 ครั้ง และไม่เคยมีฤดูกาลไหนที่สวมเสื้อเบอร์ 7 แล้วยิงให้ เรอัล มาดริด ได้น้อยกว่า 40 ประตู รวมทุกรายการ ก่อนจะกลายเป็นนักเตะค่าตัวแพงสุดในประวัติศาสตร์ เซเรีย อา เมื่อย้ายไป ยูเวนตุส ในช่วงซัมเมอร์นี้
คาริม เบนเซม่า (เรอัล มาดริด)
จากเบอร์ 11 เป็นเบอร์ 9 (ฤดูกาล 2010-11)
ย้ายจาก โอลิมปิก ลียง ไปเล่นที่สเปนในฤดูกาลเดียวกับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และเมื่อปีกโปรตุกีสคว้าหมายเลข 9 เขาก็ต้องใส่เบอร์ 11 ไปก่อนในซีซั่นแรกกับมาดริด
ฤดูกาล 2009-10 ถือว่าน่าผิดหวังสำหรับ เบนเซม่า เพราะนอกจากจะชวดแชมป์ทุกรายการแล้ว เขายังยิงได้แค่ 9 ประตู จากการลงเล่น 33 นัด รวมทุกรายการ
แต่เมื่อ โรนัลโด้ เปลี่ยนไปใส่เบอร์ 7 เขาก็คว้าเบอร์ 9 ไปใส่แทน หลังจากนั้นค่าเฉลี่ยยิงประตูของเขานั้น สูงถึงฤดูกาลละ 24 ลูก และกวาดแชมป์กับสโมสรมาครบทุกรายการแล้ว
แกเร็ธ เบล (สมัยอยู่กับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์)
จากเบอร์ 3 เป็นเบอร์ 11 (ฤดูกาล 2012-13)
เดิมทีปีกตีนจรวดทีมชาติเวลส์ เริ่มค้าแข้งด้วยการเล่นตำแหน่งแบ็กซ้าย ทำให้เบอร์ประจำตัวของเขาคือหมายเลข 3
ก่อนที่เจ้าตัวจะเริ่มโชว์ฟอร์มสุดยอดเมื่อขยับขึ้นไปเล่นปีกซ้าย ทำให้ฤดูกาล 2012-13 เขาปรับมาใช้เบอร์ 11 ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพวกตัวรุกแทน
ฤดูกาลแรกที่สวมเบอร์ 11 เบล ยิงในพรีเมียร์ลีกไปถึง 21 ประตู พร้อมทั้งกวาดรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำปีของฤดูกาลทุกสถาบัน ก่อนจะได้ย้ายไปอยู่กับ เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวสถิติโลกในซัมเมอร์ปี 2013
หลังจากนั้น เขาคว้าแชมป์ยุโรปไปถึง 3 สมัย ซึ่งครั้งล่าสุดเขาเป็นฮีโร่เหมาคนเดียว 2 ลูกดับ ลิเวอร์พูล 3-1 และสามารถได้แชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในชีวิต เมื่อฤดูกาล 2016-17
เอแด็น อาซาร์ (เชลซี)
จากเบอร์ 17 เป็นเบอร์ 10 (ฤดูกาล 2014-15)
ปีกจอมพลิ้วทีมชาติเบลเยียม ได้แค่แชมป์ ยูโรปา ลีก เพียงถ้วยเดียว ตอนที่ใส่เบอร์ 17 แต่พอเปลี่ยนมาใช้หมายเลข 10 แบบทุกวันนี้ เขามีแชมป์พรีเมียร์ลีกติดตัวถึง 2 สมัย และกวาดครบทุกแชมป์ระดับเมเจอร์บนเกาะอังกฤษ
อาซาร์ คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีจากทุกสถาบันด้วยในฤดูกาล 2014-15 ก่อนที่ฤดูกาล 2016-17 เป็นซีซั่นที่เขายิงในพรีเมียร์ลีกได้มากที่สุด (16 ประตู) และได้แชมป์พรีเมียร์ลีกด้วย
มารูยาน เฟลไลนี่ (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)
จากเบอร์ 31 เป็นเบอร์ 27 (ฤดูกาล 2015-16)
2 ฤดูกาลแรก หลังย้ายจาก เอฟเวอร์ตัน เข้าสู่ถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด นอกจากกองกลางหัวฟูจะไม่มีแชมป์ติดตัวแล้ว เขายังโดนแฟนบอลวิพากษ์วิจารณ์ฟอร์มการเล่นตลอดช่วงที่สวมหมายเลข 31 ด้วย
แต่หลังจากเปลี่ยนไปใช้เบอร์ 27 ตั้งแต่ซีซั่นก่อน เจ้าตัวก็คว้าแชมป์กับผีแดงได้ถึง 4 ถ้วย ประกอบด้วย เอฟเอ คัพ, คอมมิวนิตี้ ชิลด์, อีเอฟแอล คัพ และ ยูโรปา ลีก โดยได้ลงสนามเป็นตัวจริงในเกมชิงถ้วยทั้ง 4 รายการ
นอกจากนั้นแล้ว เขายังเปลี่ยนสถานะจากนักเตะที่แฟนบอลร้องยี้ กลายมาเป็นลูกรัก และมีความสำคัญอย่างยิ่งกับรูปแบบการเล่นเน้นโจมตีด้วยบอลยาวในยุคของ โชเซ่ มูรินโญ่
เกย์ลอร์ นาวาส (เรอัล มาดริด)
จากเบอร์ 13 เป็นเบอร์ 1 (ฤดูกาล 2015-16)
หลังแจ้งเกิดจากการพาทีมชาติคอสตาริกา เข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายของศึกฟุตบอลโลก 2014 เขาย้ายจากทีมเล็กๆ อย่าง เลบันเต้ ไปเฝ้าเสาให้ เรอัล มาดริด แต่ว่าช่วงแรกยังเป็นเพียงมือสองรองจาก อีเกร์ กาซียาส
แต่หลังจาก กาซียาส ย้ายไปอยู่กับ เอฟซี ปอร์โต้ เมื่อปี 2015 ทำให้ นาวาส ขยับขึ้นไปสวมเสื้อเบอร์ 1 พร้อมกับยึดมือหนึ่งเต็มตัว
ซึ่งนับตั้งแต่ทีมราชันชุดขาววางตัว นาวาส เป็นนายด่านตัวเลือกแรก ไม่เคยมีฤดูกาลไหนที่พลาดแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เลย ส่วนเจ้าตัวก็ได้รับรางวัลนายประตูยอดเยี่ยมของคอนคาเคฟมาตลอด 2 ปีหลังสุด
แฮร์รี่ เคน (ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์)
จากเบอร์ 18 เป็นเบอร์ 10 (ฤดูกาล 2015-16)
ประเดิมสวมเบอร์ 37 ในฤดูกาล 2013-14 ที่ถูกทีมไก่เดือยทองเลื่อนขึ้นชุดใหญ่ ก่อนจะแจ้งเกิดเต็มตัวในฤดูกาล 2014-15 ที่ใส่หมายเลข 18 และยิงในพรีเมียร์ลีกไปถึง 21 ประตู
แต่ 3 ฤดูกาลล่าสุด หัวหอกทีมชาติอังกฤษทำผลงานพีคกว่านั้นภายใต้เสื้อเบอร์ 10 เมื่อคว้าตำแหน่งดาวซัลโวได้ 2 ฤดูกาลติดต่อกัน (2015-16 และ 2016-17)
ก่อนจะยิงได้เยอะที่สุดในอาชีพเมื่อซีซั่นที่ผ่านมา ด้วยการยิงในลีกถึงหลัก 30 ประตู และซัดรวมทุกถ้วยถึง 41 ลูก ตามด้วยพกความมั่นใจไปคว้าดาวซัลโวฟุตบอลโลก 2018 ในฐานะหัวหอกกัปตันทีมชาติอังกฤษ
โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ (ลิเวอร์พูล)
จากเบอร์ 11 เป็นเบอร์ 9 (ฤดูกาล 2017-18)
หลังจากที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ย้ายไปเป็นแข้งหงส์แดงเมื่อซัมเมอร์ปีก่อน เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็มอบเสื้อเบอร์ 9 ให้กับดาวเตะบราซิเลียนรายนี้ทันที และไว้ใจให้เป็นตัวเลือกแรกในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าด้วย
หลังจากเปลี่ยนไปใส่เบอร์ 9 ฟีร์มีโน่ มีฤดูกาลที่ทำประตูได้มากที่สุดในชีวิต หลังซัดไปถึง 27 ประตู รวมทุกรายการ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าจำนวนประตูของ 2 ฤดูกาลแรกในถิ่นแอนฟิลด์รวมกันซะอีก (2 ซีซั่นแรก ยิงรวมกันเพียง 23 ลูก)
คีแรน ทริปเปียร์ (ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์)
จากเบอร์ 16 เป็นเบอร์ 2 (ฤดูกาล 2017-18)
หลังจากฤดูกาลก่อน ไคล์ วอล์คเกอร์ ย้ายหนีทีมไก่เดือยทองไปซบอก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำให้เสื้อหมายเลข 2 ตกเป็นของ ทริปเปียร์ ทันที และนั่นกลายเป็นจุดเปลี่ยนให้เจ้าตัวค่อยๆ พัฒนาฝีเท้า จนยึดตัวหลักทีมชาติอังกฤษชุดฟุตบอลโลก
ทริปเปียร์ ได้โอกาสลงเล่นโดยสวมเสื้อเบอร์ 2 ในพรีเมียร์ลีกถึง 24 นัด (เป็นตัวจริง 21 นัด) สามารถทำแอสซิสต์ได้ 5 ครั้งเท่ากับฤดูกาลก่อนหน้านั้น แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือค่าเฉลี่ยการสร้างโอกาสที่มากขึ้น ทำได้ถึงนัดละ 1.7 ครั้ง และมีประสิทธิภาพการขึ้นดวลลูกกลางอากาศที่ดีขึ้นผิดหูผิดตาด้วย