ทุ่มน้อยแต่สอยแชมป์!! 6 ทีมซิวแชมป์ลีกดังยุโรป ด้วยงบประหยัด

ทุ่มน้อยแต่สอยแชมป์!! 6 ทีมซิวแชมป์ลีกดังยุโรป ด้วยงบประหยัด
ทุ่มน้อยแต่สอยแชมป์!! 6 ทีมซิวแชมป์ลีกดังยุโรป ด้วยงบประหยัด

6 สโมสรที่คว้าแชมป์ลีกใหญ่ของยุโรป โดยไม่ต้องทุ่มเงินมหาศาล

ช่วงก่อนเปิดฤดูกาลของทุกๆ ปี บรรดาสโมสรต่างๆ ในยุโรป ต่างพากันทุ่มเงินมากมายเพื่อเสริมทัพให้แกร่งขึ้น ด้วยความหวังว่าจะคว้าแชมป์ลีกมาครองให้ได้

แต่ 6 สโมสรต่อไปนี้ คือตัวอย่างของทีมที่สามารถคว้าแชมป์ได้ โดยไม่จำเป็นต้องผลาญเงินมากมาย

 

เลสเตอร์ ซิตี้ (ฤดูกาล 2015-16)

ใช้เงินเสริมทัพ : ไม่ถึง 50 ล้านปอนด์

ย้อนไปเมื่อช่วงซัมเมอร์ 3 ปีก่อน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จัดหนักด้วยการซื้อ เควิน เดอ บรอยน์, ราฮีม สเตอร์ลิง และ นิโกลัส โอตาเมนดี้ ในมูลค่ารวมกันกว่า 130 ล้านปอนด์ 

แมนฯ ยูไนเต็ด ก็หมดไปเกือบร้อยล้านปอนด์กับ เมมฟิส เดอปาย, มัตเตโอ ดาร์เมียน, บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์, มอร์แกน ชไนเดอร์ลิน และ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล 

ขณะที่ ลิเวอร์พูล ถลุงไปไม่น้อยกับการเสริม โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, เนธาเนียล ไคลน์ และ คริสติย็อง เบนเตเก้

แต่สุดท้ายทั้ง 3 ทีมที่กล่าวมา ทำได้แค่พยายามลุ้นคว้าตั๋ว แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งมีเพียงทีมเรือใบสีฟ้าที่สมหวัง แต่ตำแหน่งแชมป์ตกเป็นของทีม “จิ้งจอกสยาม” ที่ไม่มีนักเตะคนไหนค่าตัวเกิน 10 ล้านปอนด์ แบบช็อคโลก

 

แอตเลติโก มาดริด (ฤดูกาล 2013-14)

ใช้เงินเสริมทัพ : ไม่ถึง 30 ล้านยูโร

ฤดูกาล 2013-14 เรอัล มาดริด ทุ่มเงินสูงเป็นสถิติโลก กระชากตัว แกเร็ธ เบล ไปลากเลื้อยด้วยค่าตัว 85 ล้านปอนด์ แถมยังจ่ายรวมกันอีกกว่า 60 ล้านยูโร ดึงตัว อีสโก้ รวมทั้ง อาเซียร์ อียาร์ราเมนดี้ ไปเสริมแดนกลางอีก

บาร์เซโลน่า ก็ทุ่มเงินอีกเกือบ 60 ล้านยูโร คว้าซูเปอร์สตาร์อย่าง เนย์มาร์ ไปเสริมแนวรุก

ทว่าตำแหน่งแชมป์ ลา ลีกา กับตกเป็นของทีมตราหมี ที่เพิ่งตัดสินใจขาย ราดาเมล ฟัลเกา ให้ โมนาโก ด้วยค่าตัว 60 ล้านยูโร แล้วเจียดเงินมาเพียงครึ่งเดียว เสริมทีมด้วย โฮเซ่ มาเรีย คิเมเนซ, ดาบิด บีย่า, โชซูอา กีลาโวกี และ โทบี้ อัลเดอร์แวเรลด์ โดยที่ไม่มีใครมีค่าตัวสูงกว่า 10 ล้านยูโร แม้แต่คนเดียว!!

 

โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ (ฤดูกาล 2010-11)

ใช้เงินเสริมทัพ : ไม่ถึง 7 ล้านยูโร

เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้รับการยกย่องอย่างมาก ที่คว้าตัวนักเตะอย่าง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ และ ชินจิ คากาวะ มาปลุกปั้นจนกลายเป็นแข้งดังกระฉ่อนโลกในเวลาต่อมา

2 คนนั้นมีค่าตัวรวมกันเพียง 5 ล้านยูโร เท่านั้น โดย เลวานดอฟสกี้ ย้ายจากลีกโปแลนด์ในมูลค่า 4.75 ล้านยูโร ส่วน คากาวะ ถูกดึงตัวจาก เซเรโซ่ โอซาก้า ตั้งแต่ตอนไม่เคยติดทีมชาติญี่ปุ่น ไปในราคาเพียง 3 แสนยูโรเศษๆ

ที่น่าทึ่งเข้าไปใหญ่ก็คือทีมชุดที่นำโดย 2 คนนี้ ผสมกับแข้งหน้าเดิมที่ค่าตัวย่อมเยาเช่นกัน จะคว้าถาดแชมป์บุนเดสลีกาได้ถึง 2 ฤดูกาลติดต่อกัน ปล่อยให้เจ้าพ่อใหญ่เยอรมันอย่าง บาเยิร์น มิวนิค ได้แต่มองตาปริบๆ

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (ฤดูกาล 2010-11)

ใช้เงินเสริมทัพ : ไม่ถึง 30 ล้านปอนด์

หลังจากขาย คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ให้ เรอัล มาดริด จนเสียแชมป์ให้กับ เชลซี ในฤดูกาล 2009-10 แทนที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จะเสริมทีมด้วยดาวดัง พวกเขากลับซื้อแต่นักเตะที่แทบไม่มีคนรู้จัก ในซัมเมอร์ปี 2010

ฮาเวียร์ “ชิชาริโต้” เอร์นานเดซ, คริส สมอลลิ่ง และ เบเบ้ เปิดตัวเป็นแข้งใหม่ผีแดง โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าคุณภาพฝีเท้าดีแค่ไหน

ฤดูกาลนั้น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยกระดับทีมด้วยการซื้อ ยาย่า ตูเร่, ดาบิด ซิลบา, มาริโอ บาโลเตลลี่, อเล็กซานดาร์ โคลารอฟ, เจมส์ มิลเนอร์ และ เอดิน เชโก้ ด้วยงบรวมกันทะลุ 100 ล้านปอนด์

ส่วน เชลซี ก็จ่ายหนักในช่วงฤดูหนาว คว้าตัว เฟร์นานโด ตอร์เรส ด้วยค่าตัวสถิติสโมสร พร้อมทั้ง ดาวิด ลุยซ์ ในมูลค่าอีก 22 ล้านปอนด์ 

แต่ไปๆ มาๆ 2 ทีมดังกล่าว ทำได้แค่อันดับ 3 และ รองแชมป์ตามลำดับ ส่วนผีแดงคว้าแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 18 ไปครองได้สำเร็จ


เรอัล มาดริด (ฤดูกาล 2016-17)

ใช้เงินเสริมทัพ : 30 ล้านยูโร

ตลอด 2 ฤดูกาลที่ผ่านมา เจ้าของแชมป์ ลา ลีกา และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ยึดขุมกำลังชุดเดิมที่ได้แชมป์ยุโรปปี 2016 เป็นแกนหลัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในฤดูกาล 2016-17 ที่ได้แชมป์ลีกสเปนพ่วงด้วยนั้น พวกเขาใช้เงินเพียง 30 ล้านยูโร ซื้อ อัลบาโร่ โมราต้า กลับจาก ยูเวนตุส

นอกนั้นใช้วิธีเรียกนักเตะที่เคยปล่อยให้ทีมอื่นยืมตัวกลับมา โดย มาร์โก อาเซนซิโอ เจ้าหนูดาวรุ่งกลายเป็นแข้งดังระเบิดหลังเคยไปเล่นให้ เอสปันญ่อล 1 ซีซั่น

เมื่อเทียบกับ บาร์เซโลน่า ที่ใช้เงินเสริมทัพรวมกันกว่า 100 ล้านยูโร หรือ แอตเลติโก มาดริด ที่ใช้เงินมากกว่าทีมราชันชุดขาวเป็น 2 เท่าเมื่อปี 2016 ต้องบอกว่า เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ด้วยการใช้เงินฉลาด และประหยัดกว่ามาก

 

โมนาโก (ฤดูกาล 2016-17)

ใช้เงินเสริมทัพ : 43 ล้านปอนด์

ทีมพลังหนุ่มแห่งแดนน้ำหอม สร้างความฮือฮาไปทั่วยุโรป ด้วยการหยุดช่วงเวลายิ่งใหญ่ของ เปแอสเช คว้าแชมป์ ลีก เอิง ได้สำเร็จ เมื่อปี 2017

โมนาโก อาจเสริมแนวรับด้วย คามิล กลิค, ฌิบริล ซิดิเบ้ และ เบนฌาแม็ง เมนดี้ โดยที่ค่าตัวแต่ละคนราวๆ 10-13 ล้านปอนด์ ซึ่งถือว่าไม่น้อย สำหรับกองหลังที่ชื่อชั้นยังไม่ดังมาก

แต่เมื่อเทียบกับทีมดังจากปารีส ที่ทุ่มกว่า 100 ล้านปอนด์ เสริมทัพด้วย เกอร์เซกอร์ซ ครีโชเวียค, เฆเซ่ โรดริเกซ, กอนซาโล่ กูเอเดส และ ยูเลี่ยน ดรักซ์เลอร์ กลายเป็นว่าโมนาโกใช้เงินได้คุ้มค่ามากๆ และกองหลัง 3 คนที่กล่าวมา กลายเป็นแนวรับที่ดีที่สุดของลีกในฤดูกาลดังกล่าวด้วย

แม้ โมนาโก จะต้องเสียแชมป์กลับไปให้ เปแอสเช ทันทีในฤดูกาล 2017-18 แต่พวกเขาฟันกำไรมหาศาลกว่า 400 ล้านปอนด์ จากการปล่อยดาวดังอย่าง คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้, เบนฌาแม็ง เมนดี้, แบร์นาร์โด้ ซิลวา, ติเอมูเอ้ บากาโยโก้, ฟาบินโญ่ และ โตมาส์ เลอมาร์ ออกจากทีมในช่วงรอบปีที่ผ่านมา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายของ เอ็มบั๊ปเป้ กลายเป็นนักเตะค่าตัวแพงที่สุดอันดับ 2 ของโลก โดยปล่อยให้คู่ปรับอย่าง เปแอสเช แลกกับการได้เงินกลับมาสูงถึง 166 ล้านปอนด์