สื่อนอกมองไทย : พอล เมอร์ฟี่ ฟันธงใครจะเป็นท็อปโฟร์ ไทยลีก 2019

สื่อนอกมองไทย : พอล เมอร์ฟี่ ฟันธงใครจะเป็นท็อปโฟร์ ไทยลีก 2019
สื่อนอกมองไทย : พอล เมอร์ฟี่ ฟันธงใครจะเป็นท็อปโฟร์ ไทยลีก 2019

กูรูบอลไทยชาวสกอตแลนด์ ฟันธงใครจะคว้าอันดับ 1-4 ศึกไทยลีก 2019

ศึก ไทยลีก 2019 จะได้ฤกษ์เปิดฉากในวันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์นี้ โดยคู่เปิดสนามจะเป็นการเจอกันระหว่าง ราชบุรี มิตรผล เอฟซี กับทีมน้องใหม่ที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาเป็นครั้งแรกอย่าง ตราด เอฟซี 

แม้คู่เปิดหัวจะไม่ใช่การเจอกันระหว่างทีมลุ้นแชมป์ แต่ในช่วงวันเสาร์อาทิตย์ถือว่าเข้มข้นยิ่งกว่า เพราะบรรดาทีมยักษ์ใหญ่ต่างมีคิวลงเตะนัดแรก

ซึ่งในมุมมองของ พอล เมอร์ฟี่ คอลัมนิสต์ชาวสกอตแลนด์ ซึ่งเกาะติดวงการบอลไทยมานานกว่า 10 ปี เขามองว่าในปีนี้ อันดับ 1-4 ยังน่าจะเป็นทีมท็อปโฟร์จากปี 2018 เพียงแต่น่าจะมีการสลับตำแหน่งกันพอสมควรระหว่าง 4 ทีมในปีนี้

และนี่คือ การฟันธงจาก เมอร์ฟี่ ว่าเขามองว่าทีมใดบ้าง ที่น่าจะเป็น 4 อันดับแรกของศึก ไทยลีก 2019

แชมป์ : ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด

แข้งน่าจับตา : เนลสัน โบนีญ่า

สโลแกนของทัพแข้งเทพในปีนี้คือ ‘The time is now’ หรือ “ปีนี้มาแน่” ซึ่งน่าจะเป็นปีแห่งการชี้ชะตาว่า ทีมของ มาโน่ โพลกิ้ง จะไปถึงฝั่งฝันซะทีหรือไม่ หลังมีสถานะเป็นเพียง “ผู้ท้าชิง” มาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา

เมอร์ฟี่ มองว่า นับตั้งแต่ปี 2014 ที่ได้ มาโน่ เข้ามาคุมทีม ทัพแข้งเทพก็ยกระดับขึ้นมาเรื่อยๆ และขุมกำลังชุดปัจจุบันถือว่าดีที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรเลยก็ว่าได้ และถ้าพวกเขาจะไปถึงแชมป์ได้ ก็ควรจะต้องเป็นปีนี้แล้ว

ในขณะที่บรรดาคู่แข่งลุ้นแชมป์ต่างดูอ่อนกำลังลงไปในปีนี้ แต่ทางฝั่ง แบงค็อก เสริมทัพได้อย่างน่าฮือฮา ซึ่งแม้จะโดน คอนซาโดเล่ ซัปโปโร ถล่มเละ 5-1 ในเกมอุ่นเครื่อง หรือร่วงตกรอบคัดเลือก เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก อย่างรวดเร็ว ด้วยน้ำมือของ ฮานอย เอฟซี ทีมแชมป์เวียดนาม แต่ เมอร์ฟี่ ยังเชื่อว่า เมื่อถึงเวลาที่เกมลีกเปิดฉาก ทีมแข้งเทพจะนำบทเรียนจากความผิดพลาดมาปรับปรุง และกลับมาน่ากลัวอีกครั้งแน่

แบงค็อก มีตัวเลือกชั้นดีมากมายในแนวรุก โดยดาวยิงอย่าง เนลสัน โบนีญ่า ซึ่งเพิ่งย้ายมาจาก สุโขทัย เอฟซี น่าจะยิงได้อย่างน้อย 25-30 ประตู หากอยู่ในสภาพฟิตสมบูรณ์ ขณะที่ อานนท์ สมรเลิศศักดิ์ ในวัย 21 ปี ก็น่าจะพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นแข้งคุณภาพอย่างเต็มตัว หลังจากแจ้งเกิดในฐานะเด็กปั้นของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มาตั้งแต่ปี 2014

การได้ ทริสตอง โด เข้ามา ก็น่าจะเพิ่มประสิทธิภาพเกมทางฝั่งขวา และมิติใหม่ๆ ที่ทีมอาจจะไม่มีในช่วงก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ตาม แบงค็อก ยังต้องพิสูจน์ตัวเองในเรื่องสภาพจิตใจในการสู้ศึกระยะยาว เพราะ 2 ปีที่ผ่านมา พวกเขาสะดุดไปจากการที่เบียด บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ไม่ได้ซะที

ซึ่งถ้าหาก มาโน่ โพลกิ้ง แก้ไขจุดนี้ได้สำเร็จ ปีนี้ก็น่าจะถึงเวลาที่หยิบแชมป์ลีกสูงสุดมาให้สโมสรได้เสียที…

 

อันดับ 2 : บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด

แข้งน่าจับตา : ศุภชัย ใจเด็ด

เจ้าของแชมป์ 2 ปีหลังสุด มุ่งมั่นที่จะคว้าแชมป์สมัยที่ 6 ในช่วงเวลาห่างกันเพียง 7 ปี ซึ่งถือว่ามีเพียงไม่กี่ทีมเท่านั้น ที่จะต่อกรกับ “แข้งเซราะกราว” ได้

บุรีรัมย์ มียอดโค้ชอย่าง โบซิดาร์ บันโดวิช คุมทีม และมีเกมรับที่เหนียวแน่น นำโดยนักเตะอย่าง อันเดรส ตูเญซ บวกกับวิงแบ็กฝีเท้าพรสวรรค์ และดาวรุ่งที่กำลังมาแรงอย่าง ศุภชัย ใจเด็ด ในแนวรุก

ในปี 2018 ที่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ป้องกันแชมป์ไทยลีกไว้ได้ พวกเขาแทบไม่มีจุดอ่อนให้เห็นเลย แต่แน่นอนว่า เครดิตส่วนใหญ่ต้องยกให้ความสุดยอดของ ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต

ซึ่งในปีนี้ การที่ ดิโอโก้ ตัดสินใจย้ายไปค้าแข้งที่มาเลเซียกับ ยะโฮร์ ดารุล ทักซิม ถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของสโมสร บวกกับการย้ายกลับไปเล่นที่บ้านเกิดของ ออสวัลโด้ ฟิลโญ่ ก็ทำให้ทีมต้องหาทางอุดช่องว่างให้ได้เช่นกัน

ขุมกำลังของ บุรีรัมย์ ยังคงแข็งแกร่งเช่นเดิม เพียงแต่ตัวแทนของนักเตะระดับ ดิโอโก้ นั้น ถือว่ายากมากที่ทีมปราสาทสายฟ้าจะหามาได้ จากผลงานยอดเยี่ยมสม่ำเสมอ ที่ดาวยิงบราซิเลียนพิสูจน์ให้เห็นมาตั้งแต่ปี 2015

แฟนบอลบุรีรัมย์ คงไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์กลับไปซ้ำรอยปี 2016 ที่ทีมรักฟอร์มเป๋ยาวๆ จนทำได้แค่อันดับ 4 จากการที่ ดิโอโก้ บาดเจ็บจนต้องร้างสนามไปเกือบตลอดซีซั่น แถมยังร่วงตกรอบ เอเอฟวี แชมเปี้ยนส์ ลีก และไม่ได้แชมป์อะไรเลยในปีดังกล่าว

ในปีนี้ บุรีรัมย์ ใช้ตัวหลักเป็นนักเตะอาเซียนชั้นยอดหลายคน นำโดย ฆาเบียร์ ปาตินโญ่ ดาวยิงทีมชาติฟิลิปปินส์ ที่กลายเป็นตัวหลักของทีมตั้งแต่ครึ่งหลังของปีก่อน รวมไปถึงแบ็กซ้ายตัวใหม่อย่าง สเตฟาน ปัลล่า ก็น่าจะยึดตำแหน่งได้ในระบบหลังสาม ส่วนแดนกลางก็น่าจะมี เลือง ซวน ตรวง ดาวดังทีมชาติเวียดนามเป็นหัวใจสำคัญ

โดยในแผงมิดฟิลด์ น่าจับตามองตรงที่ได้ตัว ฮาจิเมะ โฮโซงาอิ อดีตกองกลางทีมชาติญี่ปุ่น ซึ่งผ่านประสบการณ์ค้าแข้งในบุนเดสลีกามาแล้วเข้ามาเสริมทัพ เช่นเดียวกับยังคงมีแกนหลักหน้าเก่าอย่าง จักรพันธ์ แก้วพรม อยู่อีกคน

จุดที่น่าสนใจก็คือ ในปีนี้ ศุภชัย ใจเด็ด จะได้โอกาสเป็นตัวหลักในแดนหน้าอย่างเต็มตัว หรือว่าจะต้องไปยืนต่ำเหมือนปีก่อน เพราะแข้งใหม่ทั้ง โมดิโบ ไมก้า และ เปโดร จูเนียร์ ไม่น่าจะเล่นอยู่ด้านหลังของ “เจ้าอาร์ม” ได้

แต่ถ้าหาก ศุภชัย ต้องหลุดออกจากตำแหน่งตัวจริง เมอร์ฟี่ มองว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควร เพราะดาวเด่นวัย 20 ปีกำลังพัฒนาฝีเท้าขึ้นมาอย่างน่าจับตามองสุดๆ ในตอนนี้

พอล เมอร์ฟี่ ชี้ว่า แม้ทีมแชมป์เก่าจะยังคงมีแกนหลักที่พาทีมประสบความสำเร็จอยู่หลายคน แต่ปีนี้น่าจะถึงเวลาที่จะเป็นช่วงขาลง และสภาพร่างกายของตัวเก๋าๆ ก็โรยราลงยิ่งกว่าปี 2016 เสียอีก

และจากการที่บรรดาผู้ท้าชิง น่าจะยกระดับขึ้นมาได้มากขึ้น กูรูบอลไทยชาวสกอตติช ฟันธงว่า ปีนี้ บุรีรัมย์ น่าจะเสียแชมป์

 

อันดับ 3 : เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด

แข้งน่าจับตา : สารัช อยู่เย็น

สโลแกนของทัพกิเลนผยองในปีนี้คือ ‘Football’s coming home’ หรือหมายถึงการทวงแชมป์กลับคืนมาอีกครั้ง ซึ่งแม้จะดูเพ้อฝันไปพอสมควร แต่พวกเขามีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยม

เมืองทองฯ ตั้งเป้าที่จะกอบกู้ศรัทธาแฟนบอลกลับมาให้ได้ หลังจากในปี 2018 พวกเขาทำได้แค่อันดับ 4 และตามหลังแชมป์อย่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ห่างถึง 28 แต้ม

ในแนวรุกของทีมกิเลนปีนี้ ถือว่าแข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย จากการได้ ธีรศิลป์ แดงดา กลับมาจากการยืมตัวไปเล่นที่ญี่ปุ่น บวกกับนักเตะอย่าง เฮแบร์ตี้ แฟร์นานเดส และแข้งใหม่ที่พิสูจน์ตัวในไทยได้แล้วอย่าง อ่อง ธู รวมไปถึง อดิศักดิ์ ไกรษร ที่กลับมาฟิตอีกครั้ง แถมยังมี กรวิชญ์ ทะสา ที่น่าจะมีบทบาทในทีมชุดใหญ่เต็มตัวอีกคน

พวกเขายังดึงตัวอดีตดาวดังของทีมอย่าง มาริโอ ยูรอฟสกี้ กลับสู่ถิ่น เอสซีจี สเตเดี้ยม อีกครั้ง โดยเพลย์เมกเกอร์ชาวมาซิโดเนีย ที่ตอนนี้อายุปาเข้าไปแล้ว 33 ปี มีปี 2018 ที่ไม่น่าจดจำ เพราะได้โอกาสลงเล่นไม่ต่อเนื่อง แถมต้นสังกัดของเขาในปีก่อนอย่าง บางกอกกล๊าส เอฟซี ยังร่วงตกชั้นอีกต่างหาก

อย่างไรก็ตาม ยูรอฟสกี้ อยู่ในสภาพฟิตพร้อมแล้วในตอนนี้ และน่าจะเป็นตัวเปลี่ยนเกมชั้นดีสำหรับ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด

ในปีนี้ จะถือเป็นฤดูกาลที่ สารัช อยู่เย็น ต้องรับบทหนัก หลังจาก “เจ้าตัง” ยังไม่สามารถคืนฟอร์มเก่งเหมือนที่เคยทำได้ในช่วงปี 2016 ได้เลย เพราะเจออาการบาดเจ็บหนักเล่นงานเมื่อช่วงต้นปีก่อน

อย่างไรก็ตาม สารัช ในวัยเพียง 26 ปี ยังสามารถพัฒนาต่อไปได้อีก และดีพอที่จะเรียกความมั่นใจและพละกำลัง เพื่อกลับมาเป็นเสาหลักของทีมอีกครั้ง ซึ่งจากการที่ ชาริล ชัปปุยส์, อี โฮ และ วัฒนา พลายนุ่ม ต้องแย่งตำแหน่งกองกลางตัวเชื่อมเกมกันเอง ทำให้ เมืองทอง ต้องการให้ สารัช รับบทบาทกับการปั้นเกมรุกมากขึ้นกว่าเดิมด้วย

สำหรับแนวรับของ เมืองทองฯ ในปีนี้ ถือว่ายกเครื่องใหม่หมด โดยได้ตัว ดัง วาน ลัม นายประตูทีมชาติเวียดนามมาเฝ้าเสา และถูกคาดหวังว่าจะเข้ามาอุดช่องโหว่ที่ กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ทิ้งไว้ หลังย้ายไปเล่นที่เบลเยียมได้เสียที

พอล เมอร์ฟี่ ชี้ว่า เมืองทองฯ ยังไม่น่าจะดีพอที่จะไปถึงแชมป์ แต่ก็เชื่อว่าน่าจะทำผลงานได้ดีขึ้นกว่าที่ทำได้แค่อันดับ 4 ในปี 2018

 

อันดับ 4 : การท่าเรือ เอฟซี

แข้งน่าจับตา : นูรูล ศรียานเก็ม

ทีมสิงห์เจ้าท่ายกระดับขึ้นมาเป็นท็อปทรีของประเทศได้อย่างน่าจับตาในปีที่แล้ว จากการทุ่มเงินเสริมทัพอย่างหนัก แต่น่าแปลกใจที่ในปีนี้ พวกเขาไม่ได้ต่อยอดยกระดับขุมกำลังขึ้นไปจากเดิมเท่าไร และน่าจะเป็นปีที่เน้นรักษามาตรฐาน มากกว่าพัฒนา

ตัวหลักของทีมยังอยู่กันครบ และน่าจะช่วยให้ทีมยืนระยะได้ดีในช่วงต้นฤดูกาล เพราะทีมอื่นๆ ยังไม่สามารถค้นพบ 11 ตัวแรกที่ดีที่สุด แต่ก็มีการเสริมทัพที่สำคัญในตำแหน่งมิดฟิลด์ เมื่อได้ตัว โก ซุล-กี อดีตดาวดัง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด รวมถึง สุมัญญา ปุริสาย แข้งทีมชาติไทย ที่ปีก่อนท็อปฟอร์มสุดๆ กับ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด

โก ซุล-กี ถือเป็นนักเตะที่มีคุณภาพชัดเจน จากการที่พิสูจน์ตัวเองมาแล้วหลายปีกับ บุรีรัมย์ ซึ่งทีมสิงห์เจ้าท่าคาดหวังให้เจ้าตัว ยกระดับแดนกลางให้ดีขึ้น แทนที่ คิม ซอง-ฮวาน ที่ย้ายออกไป

ส่วนในรายของ สุมัญญา แม้ปีก่อนจะทำผลงานสุดยอด แต่ปีนี้ยังไม่ชัดเจนว่าเขาจะได้รับบทบาทไหนในต้นสังกัดใหม่

สำหรับตัวความหวังของ ท่าเรือ ในปีนี้ เมอร์ฟี่ มองว่ายังเป็น นูรูล ศรียานเก็ม ปีกขวาทีมชาติไทย แต่ก็ชี้ว่า เขาต้องเล่นให้ใจเย็นลงกว่านี้ เพื่อจะได้เค้นศักยภาพที่ดีที่สุดของตัวเองออกมาให้ได้

จุดที่น่าเป็นห่วงที่สุดสำหรับสิงห์เจ้าท่าคือแดนหน้า เพราะดาวยิงวัย 33 ปีอย่าง ดราแกน บอสโควิช ต้องรับบท “เดอะ แบก” มากเกินไป ซึ่งหากหัวหอกมอนเตเนโกรเกิดเจ็บขึ้นมา ท่าเรือก็ไม่มีตัวแทนที่ดีพอจะทดแทนเลย

11 คนแรกของ การท่าเรือ เอฟซี ถือว่าพร้อมเจอทุกทีม แต่พวกเขายังต้องการขุมกำลังซัพพอร์ทที่ดีกว่านี้ และแท็กติกที่ยืดหยุ่นกว่านี้ ถึงจะพร้อมเป็นผู้ท้าชิงแชมป์ลีกได้