5 ปัจจัยทำ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด บุกเสมอ เซเรโซ่ โอซาก้า 2-2 แบบน่าชนะเหลือเกินใน ACL2018
เรียกได้ว่าน่าเสียดายจริงๆ หลัง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด บุกเสมอ เซเรโซ่ โอซาก้า ถึงญี่ปุ่น 2-2 แบบน่าชนะสุดๆ ในศึก เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก 2018 กลุ่มจี
จากผลเสมอในเกมนี้ทำให้ยังต้องลุ้นกันอีกอย่างหนักใน 2 เกมที่เหลือเพื่อแย่งชิงการเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายให้ได้
และนี่คือ 5 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ทัพปราสาทสายฟ้า คว้า 1 แต้มกลับไทย!!
แนวรับยังไว้ใจได้
ยังเป็นจุดเด่นของ บุรีรัมย์ ในบอลเอเชียปีนี้จริงๆสำหรับความแกร่งของแนวรับ พรรษา เหมวิบูลย์ มีจังหวะ เคลียร์บอล 4 ครั้ง และเข้าตัดบอลแม่นๆอีก 2 ครั้ง
ขณะที่ ยู จุน-ซู ที่ถูกถอยมายืนกองหลังฝั่งซ้ายก็ทำหน้าที่ได้ยอดเยี่ยมหลังเคลียร์บอล 2 ครั้งแถมหยุดจังหวะดวลตัวต่อตัวไปอีก 4 หน
โดยเฉพาะ อันเดรส ตูเญซ ที่เอาเกมรุก เซเรโซ่ ซะอยู่หมัดหลังตัดบอลช่วยทีมได้ถึง 2 ครั้ง ที่สำคัญดาวเตะเวเนซูเอลา มีจังหวะเคลียร์บอลไปถึง 15 ครั้งมากกว่าทุกคนในสนาม
บอกเลยว่าหากสามปราการหลังไม่ท็อปฟอร์มแบบนี้บางที ทัพปราสาทสายฟ้า อาจไม่มีแต้มกลับไทยก็ได้
เซตพีซยังโดดเด่น
ลูกตั้งเตะนี่ก็เป็นอีกสิ่งที่เล่นงาน เซเรโซ่ มาตั้งแต่นัดที่แล้ว โดยเฉพาะเกมนี้เพียงแค่เตะมุมแรกของเกม รัตนากร ใหม่คามิ ก็เปิดโค้งๆจนทีมขึ้นนำไปทันทีตั้งแต่นาทีที่ 2
ต่อเนื่องไปที่ประตูขึ้นนำ 2-1 ก็ยังดึงความแน่นอนเรื่องลูกเซตพีซมาใช้ได้อีกหน เอาง่ายๆ 3 จาก 4 ประตูที่ บุรีรัมย์ ยิง เซเรโซ่ ได้ในสองเกมนี้มาจากลูกตั้งเตะทั้งนั้น
ซึ่งการเล่นกับทีมที่แกร่งกว่าในถ้วยเอเชียแบบนี้ บอกเลยว่าจุดนี้แหละที่จะทำให้เกมเปลี่ยนมาเข้าทางเราได้อย่างที่เห็นในเกมเมื่อคืนนี้
เซราะกราวเพรสซิ่งไวได้ผล
เห็นได้ชัดเลยว่าเกมนี้ โบชิดาร์ บันโดวิช เน้นการเข้าเพรสซิ่งไวใส่เจ้าถิ่นตั้งแต่ต้นเกมจนทำให้ เซเรโซ่ แทบจะไม่มีโอกาสเข้าทำแบบจะแจ้งเลย
โดยเฉพาะแดนกลางทั้ง รัตนากร ใหม่คามิ, ประวีณวัช บุญยงค์ รวมไปถึง สุภโชค สารชาติ ที่วิ่งไว้บอลกันอย่างไม่รู้จักเหนื่อย
จนเรียกได้ว่าช่วงครึ่งแรกชัดเลยว่า บุรีรัมย์ มีโอกาสทำประตูได้อย่างจะแจ้งกว่าจนเรียกได้ว่าไม่น่าพลาด 3 แต้มแน่ๆ
เซเรโซ่แก้เกมดี!!
จบครึ่งแรกแฟนบอลไทยหลายคนคงคิดว่า บุรีรัมย์ ไม่น่าพลาดที่จะคว้า 3 แต้มกลับไทยได้แน่นอน แต่เมื่อเริ่มครึ่งหลัง เซเรโซ่ กลับลงมาสนามอย่างคึกคัก และต่อบอลเข้าทำได้อย่างเนียบกริบ
จนมาตามตีเสมอได้ตั้งแต่ช่วงนาที 65 แถมมีโอกาสพลิกขึ้นนำด้วยซ้ำแต่ยังดีที่การเข้าทำยังไม่เฉียบขาดพอ
ยิ่งดูเปอร์เซ็นการครองบอลเจ้าถิ่นเหนือกว่าถึง 64.2% กับ 35.8% แถมโอกาสยิง 14 หนมากกว่า เซราะกราวครึ่งต่อครึ่ง
จุดที่ต้องชมเลยคือการแก้เกมในช่วงพักครึ่งของ เซเรโซ่ โอซาก้า ที่ต่างจากครึ่งแรกโดยสิ้นเชิงจนทำให้พวกเขาคว้าแต้มสำคัญไว้ได้
ต้องแก้เรื่องครอส
สองประตูที่ บุรีรัมย์ เสียในเกมนี้มาจากลูกครอสจากด้านข้างล้วนๆ ลูกแรกเป็นทางฝั่งที่ นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม ต้องรับผิดชอบหลังปล่อยให้ ทัตสุตะ ยามาชิตะ มีเวลาเปิดบอลเข้ากลางให้เพื่อนโขกตีเสมออย่างง่ายดาย
เช่นเดียวกับลูกสอง ศศลักษณ์ ไหประโคน เข้าพรวดจนหลุดตำแหน่งจน โอตารุ ยามากูชิ พาบอลไปสุดเส้นก่อนตักเข้ากลางให้ เคนยุ ซูกิโมโตะ โขกตีเสมอแบบน่าเจ็บใจ
นอกจากนี้ในเกมยังมีจังหวะที่เจ้าถิ่นใช้ลูกโยนจากด้านข้างทั้งโอเพ่นเพลย์ และฟรีคิกเล่นงานใส่ บุรีรัมย์ อีกหลายคนที่เดียวเพียงแต่จังหวะมันยังไม่ได้เท่านั้น
ถือว่าเรื่องนี้สำคัญจริงๆที่ต้องรีบแก้เพราะการเจอกับทีมที่แกร่งกว่า รวมทั้งมีรูปร่างสูงใหญ่กว่า แน่นอนว่าพวกเขาจะใช้จุดนี้แหละในการจู่โจมเรา!!
แม้ดูจากแต้มแล้วจะค่อนข้างสูสีสุดๆในกลุ่มนี้ว่าทีมใดจะคว้าสิทธิ์ 2 ใบทะลุเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย
แต่เมื่อดูจากกฎเกณฑ์ที่จะใช้เฮดทูเฮดเป็นหลักทำให้นัดหน้าหาก บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เปิดบ้านชนะ กว่างโจว เอเวอร์แกรนด์ ได้ และอีกคู่ เซเรโซ่ โอซาก้า ไม่สามารถชนะ เจเจู ยูไนเต็ด
จะทำให้ ทัพปราสาทสายฟ้า การันตีเข้ารอบทันทีโดยไม่ต้องลุ้นถึงนัดสุดท้าย!!
