Fact หลังเกม : 5 ปัจจัยทีเด็ดพา ช้างศึก บุกดับ จีน ทะลุชิงไชน่า คัพ

เจ-นิว โคตรโหด

การกลับมาของ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ครั้งนี้ดูจะมีฝีเท้าที่พัฒนาขึ้นมากทีเดียว โดยเฉพาะการเล่นเกมรุกที่เขาดูจะดุดัน และมีมิติมากขึ้นอย่างเหลือเชื่อ

การลงเล่นในตำแหน่งตัวบนของ “เจ้านิว” ดูจะไม่มีข้อผิดพลาดอะไรเลย แถมความฟิต และความมั่นใจในการจ่ายบอล-ครองบอล ก็ดูจะมีมากขึ้นกว่าเดิมอีกต่างหาก

มีหลายจังหวะเหมือนกันที่ ฐิติพันธ์ เติมเกมขึ้นไปสร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีมรวมทั้งจังหวะจ่ายให้ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ซัดประตูชัยในครึ่งแรกด้วย

ขณะที่ “เมสซี่เจ” ก็ไม่ได้มีดีแค่จังหวะยิงเท่านั้น หากใครได้ดูเกมเมื่อคืนต้องยอมรับว่าเขาก้าวไปอีกระดับนึงแล้ว ชนาคุง มีจังหวะเลี้ยงลุยแนวรับจีน และผ่านไปบ่อยเหลือเกิน ไม่ว่าจะกระชากหนี หรือแหวก 2-3 คนแบบนิ่มๆ

และที่พัฒนาขึ้นมาอย่างชัดเจนคือจังหวะจบสกอร์ที่เขามีความกล้าที่จะยิง และทำได้ดีกว่าสมัยเล่นอยู่ไทยมากกว่าเดิมหลายเท่าเลย

แดนกลางดูสมดุล

จากรายชื่อ 11 ตัวจริงแฟนบอลดูจะห่วงแดนกลางเป็นพิเศษเพราะ ธนบูรณ์ เกษารัตน์ ก็ยังไม่กลับสู่ฟอร์มเดิมได้นักจากเอเชียน คัพ ที่ผ่านมา บวกกับ สารัช อยู่เย็น ก็ยังไม่สามารถเค้นฟอร์มเก่งกับต้นสังกัดได้เช่นกัน แต่กลับกันตลอดทั้งเกมมันไม่เป็นอย่างงั้นเลยเพราะพวกเขาทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม

โดยเฉพาะ สารัช ที่ดูจะเข้าระบบกับทีมชุดนี้เหลือเกิน แถมมีความทุ่มเท, ใจสู้สุดๆ  และช่วยเกมรับได้อย่างดีจน ธนบูรณ์ ไม่ต้องเจองานหนักเหมือนช่วงเอเชียน คัพ

เช่นเดียวกับ “เจ้าตั้ม” ที่ดูอาการแหยงที่เคยมีจะดูหายลงไปเยอะกล้าที่จะเล่น กล้าที่จะเข้าปะทะมากขึ้น ตลอดทั้งเกมจึงเห็นเขาตัดเกมรุกแดนกลางของจีนได้มากทีเดียว

ยิ่งได้มาประสานงานกับ ชนาธิป และ ฐิติพันธ์ ที่เคยเล่นร่วมกันมานาน แถมพัฒนาไปอีกขั้นทำให้มิดฟิลด์ชุดนี้ดูเหนือกว่ากองหลางเจ้าถิ่นมากเหลือเกิน

ศิวรักษ์ของจริง

ก่อนหน้านี้แฟนบอลไทยต่างห่วงเรื่องผู้รักษาประตูมาโดยตลอดเมื่อ กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ บาดเจ็บไม่สามารถช่วยทีมชาติไทยมาได้สักระยะ

แต่ตอนนี้คงหายห่วงกันหมดแน่นอนเพราะต้องยอมรับเลยว่า ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน นี่ของจริงเหนียวหนึบไม่ได้น้อยไปกว่า “เจ้าตอง” เลย

ด้วยฝีมือที่ดีต่อเนื่องมาหลายปีกับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด บวกกับโอกาสในเอเชียน คัพ 2019 คงไม่แปลกอะไรที่เขาจะกลายเป็นมือหนึ่งของช้างศึกตอนนี้

ในเกมเมื่อคืน “เจ้าแชมป์” โชว์เซฟไปถึง 6 ครั้ง และเป็นลูกจ่อๆ เกือบทั้งนั้น โดยเฉพาะท้ายเกมที่ เหว่ย จื้อหาว ได้ง้างยิงโล่งๆ คนเดียวแต่นายทวารวัย34 ปีรายนี้กลับคว้าหนึบติดมือซะอย่างงั้น

นอกจากนั้นเขายังออกมาตัดบอลได้แบบ 100% เต็มไม่ว่าจะเป็นลกกลางอากาศ หรือ จังหวะบอลปาดเรียดเข้ามาก็ตาม

ด้วยฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมแบบนี้มีโอกาสเหมือนกันที่ ศิวรักษ์ จะมาท้าชิงมือหนึ่ง กวินทร์ อย่างเต็มรูปแบบในบอลทีมชาติครั้งต่อไป

บอลกับพื้นคัมแบ็ก

นี่ถือเป็นจุดสำคัญสุดๆ ที่เราไม่เห็นมานานทีเดียวนั่นคือการเล่นบอลกับพื้นแบบที่ทำได้อย่างยอดเยี่ยมในช่วง 4-5 ปีก่อนหน้านี้

การเลือกใช้กองกลางอย่าง สารัช, ธนบูรณ์, ฐิติพันธ์, ชนาธิป มาเล่นร่วมกันทำให้พวกเขาดูจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

และแน่นอน “โค้ชโต่ย” ก็จัดการวางระบบบอลกับพื้นให้กลับมาเป็นจุดแข็งของ ทีมชาติไทย ได้เหมือนเดิม

อย่างเกมเมื่อคืนเราเห็นหลายจังหวะทีเดียวที่เราเคาะบอลกันแดนกลางจน จีน ไม่สามารถแย่งบอลได้เลย แถมเคาะไป เคาะมาก็ได้ช่องที่จะทำเกมรุกแบบรวดเร็วอีกต่างหาก

และไม่แปลกอะไรที่เมื่อเราเล่นกันได้อย่างงี้ ความมั่นใจจะตามมากันเรื่อยๆ จนครองเกมได้เหนือกว่าเจ้าถิ่นซะอีก

แม้จีนเน้นลูกโด่ง แต่เกมรับไม่พลาด

ด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่กว่าของ ทีมชาติจีน ทำให้พวกเขามาเน้นในลูกกลางอากาศเพื่อโจมตีแนวรับไทย ทำให้ตลอดทั้งเกมเราจะเห็นขุนพลมังกร โยนโด่งมาเพื่อโขกทำประตู และชงให้เพื่อนอยู่บ่อยครั้ง

แต่มันไม่ง่ายอย่างงั้นเมื่อสามแนวรับอย่าง สุพรรณ ทองสงค์, อดิศร พรหมรักษ์ และ นัสตพล มาลาพันธ์ โขกทิ้งได้เกือบหมด

โดยเฉพาะ “เจ้าเอี้ยง” ที่ไม่มีอาการตื่นสนามเลยแม้นี่จะเป็นการลงเล่นเป็นตัวจริงให้ทีมชาติไทยชุดใหญ่ครั้งแรกในชีวิตเลยก็ตาม

และด้วยความแข็งแกร่งของแดนหลังตอนนี้บอกเลยว่าอนาคตทีมชาติไทย หมดห่วงเรื่องกองหลังไปอีกแน่ๆ

ชัยชนะนัดนี้ของ ทีมชาติไทย ถือเป็นการล้างแค้น ทีมชาติจีน แบบทบต้นทบดอก หลังพลาดมาในเอเชียน คัพ 2019

ซึ่งมันทำให้แฟนบอลได้เฮกันลั่นประเทศเหลือเกินเพราะต้องยอมรับว่าก่อนเกม ทีมชาติจีน เหนือกว่าเราเยอะอยู่พอสมควร

นี่คงทำให้แฟนบอลจีนได้รู้กันแล้วว่าชนะช้างศึกมันไม่ง่ายนะ ส่วนคู่ชิงไม่ว่าจะเป็น อุรุกวัย หรือ อุซเบกิสถาน บอกเลยตอนนี้เรากำไรล้วนๆ