Fact หลังเกม : วิเคราะห์ 5 ปัจจัย ทำไมไทยชวดชัยจากฟิลิปปินส์?

นายประตู ฉัตรชัย บุตรพรม ได้โอกาสลงเฝ้าเสาบ้าง ด้วยส่วนสูงที่มากกว่า ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน ที่น่าจะทำให้รับมือกับการโจมตีด้วยลูกกลางอากาศได้ดีกว่า

ปีก 2 ข้างอย่าง มงคล ทศไกร กับ นูรูล ศรียานเก็ม ที่เล่นไม่ออกในเกมกับ อินโดนีเซีย ถูกดร็อปไปนั่งสำรอง แล้วเติมกองกลางอย่าง ปกเกล้า อนันต์ เข้าไป เช่นเดียวกับ ศุภชัย ใจเด็ด ที่ได้ลงยืนกองหน้าร่วมกับ อดิศักดิ์ ไกรษร

อย่างไรก็ตาม แท็กติกนี้ที่ไม่มีปีกธรรมชาติ โดยฝั่งขวาต้องให้ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ขยับไปทำเกมด้านกว้างบ่อยๆ กลายเป็นทำให้ “เจ้านิว” เล่นไม่ออก เพราะเจ้าตัวเหมาะกับการเล่นเป็นกองกลางแบบวิ่งพล่านและมีคู่หูข้างๆ อีก 1 คนมากกว่า

แถมการโดนใบเหลืองไวตั้งแต่ครึ่งแรก ยิ่งทำให้ดาวเตะจาก บางกอกกล๊าส เอฟซี เล่นได้ยากกว่าเดิมอีก ในจังหวะที่ต้องลงไปช่วยเกมรับ

เมื่อไม่มีปีกขวาอาชีพ ฟิลิป โรลเลอร์ แบ็กขวาจึงต้องเติมขึ้นสูงกว่าปกติ และกลับกลายเป็นช่องโหว่ให้เจ้าบ้านสวนกลับทางนั้นมากเป็นพิเศษ

ส่วนทางด้านซ้าย แม้ ศุภชัย ใจเด็ด จะฉีกออกข้างไปรับบอลได้บ่อยๆ ก่อนที่จะเป็นคนซัดขึ้นนำ จากการโฉบเข้าฮอสในนาที 56 แต่ดูเหมือนว่าพอไม่มีปีกอาชีพ กรกช วิริยอุดมศิริ ก็รับบทหนักอีกเช่นกัน

2. มัวแต่เน้นตั้งรับมากเกินไป

ด้วยความที่เกมนี้เป็นการออกไปเล่นนอกบ้าน และ ฟิลิปปินส์ เองก็เป็นคู่แข่งที่ยากที่สุดในกลุ่ม ทำให้ มิโลวาน ราเยวัช วางหมากแบบเน้นรัดกุมมากเป็นพิเศษ

แต่การปล่อยให้เจ้าถิ่นครองบอลมากกว่า และแทบจะเป็นฝ่ายโดนพับสนามบุก นับตั้งแต่เราขึ้นนำ ไม่ต่างอะไรกับการเล่นแบบ “รอโดน”

เปอร์เซ็นต์ครองบอลที่เจ้าถิ่นเหนือกว่าเห็นๆ (59.1% ต่อ 40.9%) แถมโอกาสยิงของทัพปินอยเหนือกว่าถึง 3 เท่า (12 ต่อ 4) ทำให้ทีมชาติไทยต้องเล่นด้วยความกดดัน

และจังหวะเสียสมาธิเพียงหนเดียวของนายประตูอย่าง ฉัตรชัย บุตรพรม ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คู่แข่งหยุดความหวังชนะ 100% ของทีมช้างศึกลงอย่างน่าเสียดาย เมื่อเสียประตูตีเสมอ 1-1 ไปแบบไม่น่าจะเสียเอาเสียเลย

3. เจ้าบ้านกล้าที่จะทำฟาวล์มากกว่า

หากใครได้ดูเกม จะเห็นได้ชัดว่าผู้ตัดสิน นากอร์ อามีร์ บิน นูร์ โมฮาเหม็ด จากมาเลเซีย เป่าแบบลำเอียงไปทาง ฟิลิปปินส์ พอสมควร

เพราะนักเตะเจ้าบ้านใช้วิธีทำฟาวล์หนักๆ ใส่นักเตะไทยบ่อยครั้ง สถิติการฟาวล์รวมกันทั้งเกมถึง 19 ครั้ง แต่ผู้เล่นหลายคนก็รอดพ้นการโดนใบเหลือง

ขณะที่ทีมช้างศึกโดนใบเหลืองไปก่อนถึง 3 คน ตั้งแต่ยังไม่พ้นครึ่งชั่วโมงแรก ซึ่ง 2 ในนั้นคือกองกลางอย่าง ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ และ ธนบูรณ์ เกษารัตน์ ยิ่งทำให้ช่วงต่อจากนั้น เราจะไม่กล้าเบรกเกมของคู่แข่งอย่างเต็มที่ ผิดกับเจ้าถิ่นที่กล้าเล่นหนักมากกว่า เพราะรอดตัวจากการโดนจดชื่อไปหลายหน

ช็อตที่เชิ้ตดำจากมาเลย์ ทำหน้าที่ค้านสายตาสุดๆ คือจังหวะเจตนายกมือขึ้นมาหวังจะทำประตูของ อัลบาโร่ ซิลบา ตอนเติมขึ้นไปเล่นลูกเซตพีซ ซึ่งอย่างน้อย ต้องให้ใบเหลืองว่าเป็นแฮนด์บอล แต่ผู้ตัดสินก็กลับปล่อยผ่านไป

4. AK9 อดแผลงฤทธิ์

จากผลงานที่ยิงไปถึง 7 ประตู จาก 2 เกมแรก ทำให้นัดนี้ อดิศักดิ์ ไกรษร ถูกคู่แข่งจับตามองมากขึ้น และโดนประกบติดจนเล่นไม่ออก

ถ้าจะมีจังหวะจบสกอร์ คือต้องลองส่องไกล หรือไม่ก็เป็นมุมที่ถูกบีบให้ยิงได้ยากมากๆ เท่านั้น

หัวหอกจาก เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ถูกจำกัดพื้นที่ไม่ให้มีเวลาได้เล่นบอล และการที่มีผู้เล่นฟิลิปปินส์ตามประกบตลอด ทำให้เจ้าตัวต้องฉีกออกมายืนทางด้านกว้างมากขึ้นในครึ่งหลัง แต่นั่นก็กลายเป็นการลดโอกาสเข้าไปจบสกอร์ในเขตโทษของเขาลงไปด้วย

5. นักเตะล้าสุดๆ

2 นัดก่อนหน้านี้ ที่ ทีมชาติไทย เปิดบ้านชนะทั้ง ติมอร์ เลสเต และ อินโดนีเซีย ทีมช้างศึกไม่ต้องเดินทางออกไปนอกประเทศ และมีเวลาพักห่างกันมากกว่า 1 สัปดาห์

แต่สำหรับเกมนัดล่าสุดคือสถานการณ์ที่ต่างออกไป ไทยเพิ่งเสร็จภารกิจนัดชนะ อินโดนีเซีย ในวันเสาร์ ได้พักวันอาทิตย์ 1 วัน ก่อนที่จะเดินทางออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน เพื่อเดินทางไปยังฟิลิปปินส์

อย่างไรก็ตาม ฟิลิปปินส์กลับยกเลิกเที่ยวบินในประเทศในวันที่ 19 พฤศจิกายน ส่งผลให้ในวันจันทร์ ทีมช้างศึกต้องค้างคืนที่กรุงมะนิลาก่อน แล้วจึงเดินทางไปยังบาโคลอด เมืองที่จัดการแข่งขันในวันที่ 20 พฤศจิกายน ซึ่งทำให้เรามีเวลาเตรียมทีมก่อนเจอเจ้าถิ่นน้อยเกินไป

เท่านั้นไม่พอ ในวันแข่งยังมีฝนตกหนักลงมาในสนามอีก ทีมชาติไทย จึงเล่นด้วยสภาพที่ไม่พร้อมสู้ศึกมากเท่าไรนัก

อย่างไรก็ตาม 1 แต้มที่ได้จากทีมตากาล็อกไม่ใช่ผลการแข่งขันที่เลวร้าย และขอแค่เปิดบ้านเอาชนะ สิงคโปร์ ที่ราชมังคลากีฬาสถานได้ในวันอาทิตย์ ทีมช้างศึกก็ยังสามารถผ่านเข้ารอบต่อไปในฐานะแชมป์กลุ่มได้อยู่ดี

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน ว่าแฟนบอลไทยต้องการให้ทีมชาติของเรา ยกระดับฟอร์มการเล่นในนัดหน้า เพื่อเรียกศรัทธาเต็มเปี่ยมกลับคืนมาอีกครั้งให้ได้…