4 จุดที่ทีมชาติไทยชุดอายุไม่เกิน 23 ปีต้องปรับ เพื่อยกระดับให้ดีขึ้นในอนาคต หลังตกรอบแรกศึกชิงแชมป์เอเชีย
ทีมชาติไทย ชุดอายุไม่เกิน 23 ปี ต้องตกรอบแรกทัวร์นาเมนต์ชิงแชมป์เอเชีย 2018 ที่ประเทศจีนอย่างรวดเร็ว หลังผ่านไป 2 เกมในรอบแบ่งกลุ่ม ไม่มีคะแนน และยังยิงคู่แข่งไม่ได้ โดยพ่าย เกาหลีเหนือ และ ญี่ปุ่น ด้วยสกอร์ 0-1 ทั้งคู่
แม้นี่ไม่ใช่การแข่งขันของทีมชาติชุดใหญ่ที่มีแฟนบอลให้ความสนใจมากกว่า แต่ต้องไม่ลืมว่าทีมชุดนี้ คืออนาคตของทีมช้างศึกในวันหน้า แน่นอนว่าหากไม่พัฒนา ความหวังที่จะยกระดับเกมลูกหนังบ้านเราคงยิ่งลดลง
จากการตกรอบแรกศึก AFC U-23 อย่างรวดเร็ว นี่คือ 5 จุดที่เห็นได้ชัดว่าเป็นปัญหาของทีมชาติไทยชุดนี้ และจำเป็นต้องแก้ไข ก่อนจะโดนชาติอื่นในทวีปทิ้งห่างไปอีกในอนาคต
ต้องกล้าที่จะบุกกว่านี้
การแพ้ทีมชั้นนำของทวีปอย่างญี่ปุ่น ด้วยผลต่างแค่ประตูเดียว ไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่คำถามก็คือ “เมื่อไรที่เราคิดจะเอาชนะเขาบ้าง?”
เพราะการเล่นฟุตบอลระดับทัวร์นาเมนต์ทวีป จะแพ้มากหรือแพ้น้อย มันก็ไม่ช่วยให้ได้คะแนนเหมือนกัน อย่าลืมว่าการอุดประตู เราจะได้แต้มอย่างมากเพียง 1 คะแนน
เห็นได้ชัดว่า แท็กติกของทีมช้างศึกในเกมนี้ คือการ “จอดรถบัส” เน้นเกมรับอย่างเต็มที่ ถอยลงไปปิดพื้นที่ตั้งแต่หน้าเขตโทษจนถึงหน้าประตูอย่างแน่นหนา แต่พอตัดบอลได้ ก็ไม่มีทางเลือกจ่ายบอลขึ้นหน้ามากพอ
สุดท้ายก็ไม่พ้นการถูกคู่แข่งตัดบอลคืน แล้วบุกกลับขึ้นมาใหม่ตลอดเกม ถ้าหากคู่แข่งมีคุณภาพ ไม่ช้าก็เร็ว เราต้องเสียประตูเข้าจนได้
…แล้วเกมกับญี่ปุ่น เราก็โดนจริงๆ ในนาทีสุดท้ายก่อนทดเวลา
พัฒนาทักษะรับส่งบอลโดยด่วน!!
การที่เราไม่ชำนาญการผ่านบอลเร็ว หรือต่อบอลเท้าสู่เท้าด้วยจังหวะเดียว คือปัญหาใหญ่ที่ทำให้ไทยสร้างความอันตรายคู่แข่งไม่ได้
สังเกตได้เลยว่า ไทยจะผ่านบอลแบบกล้าๆ กลัวๆ ทำให้คู่แข่งตัดบอลได้ง่ายมาก เนื่องจากเบสิคการรับ-ส่งบอลยังไม่แน่นพอ และถ้าต้องการจะเปิดระยะไกล ก็ต้องหวดให้โด่งเข้าไว้ ซึ่งก็ยากต่อการจับแล้วเล่นต่อเข้าไปอีก
สถิติการผ่านบอลสำเร็จของทีมชาติไทยในเกมพ่ายญี่ปุ่น 0-1 ถือว่าน่าผิดหวังมาก ทั้งที่เราผ่านบอลรวมกันทั้งเกม เพียง 347 ครั้ง แต่กลับเข้าเป้าแค่ 235 หน หมายถึง เราจ่ายบอลเสีย มากกว่า 33%
ญี่ปุ่นครองเกมได้อย่างเบ็ดเสร็จ ด้วยสถิติผ่านบอลถึึง 709 ครั้ง มากกว่าที่ไทยทำได้เกินครึ่ง และผ่านบอลเข้าเป้าถึง 613 ครั้ง (86.4%)
เจนรบ สำเภาดี จ่ายบอลสำเร็จไม่ถึง 50% ขณะที่ พิชา อุทรา ทำได้แค่ 60% คือหลักฐานมัดตัวว่าเราเสียบอลในจังหวะบุกได้ง่ายมาก
ถ้าจะพูดกันตรงๆ เราต้องมีนักเตะที่ผ่านบอลได้อย่าง ชนาธิป สรงกระสินธ์ เพิ่มมาอีกสัก 4-5 คน มิติเกมรุกของไทยถึงจะหวังผลได้ในการพบทีมชั้นนำ
เคลื่อนที่เวลาไม่มีบอลให้ชินเข้าไว้!!
ในเกมแพ้ญี่ปุ่น 0-1 นักเตะไทยคนเดียวที่เคลื่อนที่แบบเต็มกำลังตลอดเกมคือ จักรกฤษณ์ เวชภิรมย์ ซึ่งเล่นวิงแบ็กขวา
การวิ่งของ “เจ้าไอซ์” ถือว่าเคลื่อนที่มากเป็น 1 ใน 3 ของการเคลื่อนที่ของทีมชาติไทยทั้งทีม บางทีอาจเป็นเพราะคุ้นเคยกับรูปแบบการฝึกซ้อมกับ เอฟซี โตเกียว ยู-23 ที่ประเทศญี่ปุ่น ตลอดปีที่ผ่านมา
ขณะที่นักเตะไทยคนอื่นๆ ส่วนใหญ่จะถอยลงไปคุมพื้นที่ แต่ไล่บอลไม่สุด ทำให้คู่แข่งไม่เจอความกดดัน มีเวลาและพื้นที่เหลือเฟือที่จะผ่านบอล และรอจังหวะสร้างโอกาสทำประตู
ความแตกต่างระหว่างทีมที่เก่ง กับทีมระดับดาดๆ คือการเคลื่อนที่ของผู้เล่นเวลาไม่มีบอลอยู่กับเท้า ทีมที่เคลื่อนที่มากและรู้จังหวะ จะสามารถทำเกมได้ต่อเนื่องกว่า และสถิติการผ่านบอลให้กันจะเหนือกว่าคู่แข่งเสมอ
รักษาสมาธิให้ได้ตั้งแต่ต้นจนจบเกม
ในเกมพบเกาหลีเหนือ ไทยเสียประตูตั้งแต่เกมผ่านไปแค่นาทีเศษ ขณะที่เกมกับญี่ปุ่น อุตส่าห์ยันอยู่ไว้ได้จนเกือบจะจบเกม ก็ดันมาตกม้าตายในนาทีสุดท้าย
ย้อนกลับไปในเกมอุ่นเครื่องนัดสุดท้าย ก่อนเริ่มทัวร์นาเมนต์ ไทยก็เสียท่าให้ ออสเตรเลีย ตั้งแต่ 5 นาทีแรกของเกม จนสุดท้ายแพ้ไป 2-1 เช่นกัน
การลงสนามพบกับทีมที่มาตรฐานสูงกว่า ต้องพร้อมที่จะทำให้แน่ใจว่าจะไม่เสียประตูอย่างรวดเร็ว เพราะการทำประตูตีเสมอ มันยากกว่าทำประตูขึ้นนำ
และในขณะที่เวลาใกล้จะหมด และกำลังจะคว้าผลการแข่งขันที่ต้องการ ก็ต้องเน้นให้มากพอ ว่าจะไม่ปล่อยให้สกอร์ที่รักษาไว้ได้ ไม่กลายเป็นเสียเปรียบ!!
นี่คือเรื่องพื้นฐานง่ายๆ ที่แฟนบอลยังมองเห็น และเราก็เชื่อว่าคนระดับหัวหน้าผู้ฝึกสอนก็ย่อมมองเห็น
แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้ ไม่ใช่จะแก้กันได้ในระยะเวลาสั้นๆ แต่เราก็ต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเล่นที่แล้วๆ มากันแล้ว เพื่ออนาคต