Fact หลังเกม : 5 เหตุผลสนับสนุน ไทยคู่ควรแล้ว ได้เฮนัดชิงซีเกมส์

Fact หลังเกม : 5 เหตุผลสนับสนุน ไทยคู่ควรแล้ว ได้เฮนัดชิงซีเกมส์
Fact หลังเกม : 5 เหตุผลสนับสนุน ไทยคู่ควรแล้ว ได้เฮนัดชิงซีเกมส์

5 เหตุผลสนับสนุนว่าไทยสมควรเป็นผู้ชนะ ในเกมเฉือน มาเลเซีย 1-0 คว้าเหรียญทองฟุตบอลชาย ซีเกมส์ 2017

ในที่สุดฟุตบอลชายทีมชาติไทย ก็ไม่ทำให้แฟนบอลทั่วประเทศผิดหวัง เมื่อประกาศศักดาคว้าเหรียญทองซีเกมส์ ได้เป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน หลังเอาชนะเจ้าภาพ มาเลเซีย 1-0 ในนัดชิงชนะเลิศเมื่อคืนนี้

แม้ขุนพลช้างศึกจะไม่แสดงให้เห็นว่าเหนือกว่าคู่แข่งมากนัก แต่นี่คือ 5 เหตุผลเพียงพอ ที่จะบอกว่า ไทยคู่ควรแล้ว กับตำแหน่งชนะเลิศ

1. ไทยน่าจะได้จุดโทษแล้วตั้งแต่ต้นเกม

Fact หลังเกม : 5 เหตุผลสนับสนุน ไทยคู่ควรแล้ว ได้เฮนัดชิงซีเกมส์
Fact หลังเกม : 5 เหตุผลสนับสนุน ไทยคู่ควรแล้ว ได้เฮนัดชิงซีเกมส์

เปิดเกมไปได้แค่ 5 นาที ทีมชาติไทยน่าจะได้จุดโทษอย่างชัดเจน เมื่อ พิธิวัต สุขจิตธรรมกุล วิ่งสอดเข้าไปในเขตโทษ แล้วโดน อาดิ๊บ ไซนุดดิน กองหลังกัปตันทีมมาเลเซียขัดขาล้มลง ทว่าผู้ตัดสินกลับยืนเฉย

นอกจากจังหวะดังกล่าวแล้ว ยังมีอีก 2 ชอต ที่ผู้ตัดสินจากไต้หวันทำหน้าที่ค้านสายตา

ไม่ว่าจะเป็นการให้เตะมุมทีมเจ้าถิ่น ทั้งที่นักเตะเสือเหลืองขึ้นโหม่งโดนขาตัวเองออกหลัง นาทีที่ 24

การไม่ยอมให้แม้แต่ใบเหลืองกับ ญัฟรี มูฮัมหมัด หมายเลข 11 ของมาเลเซีย ที่จงใจเข้ายันใส่ นพพล พลคำ ช่วงต้นครึ่งหลัง ทั้งที่การเข้าบอลลักษณะแบบนั้น ควรเป็นใบแดงในระดับสากล

ถ้าหากทุกจังหวะที่ว่ามา กรรมการตัดสินแบบตรงไปตรงมา เราจะได้เปรียบขึ้นมาก และไม่แน่ว่าอาจชนะด้วยสกอร์ที่สวยกว่านี้ก็ได้

2. เกมรับยืนตำแหน่งเหนียวแน่น

Fact หลังเกม : 5 เหตุผลสนับสนุน ไทยคู่ควรแล้ว ได้เฮนัดชิงซีเกมส์
Fact หลังเกม : 5 เหตุผลสนับสนุน ไทยคู่ควรแล้ว ได้เฮนัดชิงซีเกมส์

แม้เกมรุกของไทยในซีเกมส์ครั้งนี้ จะไม่ดุดัน และเข้าทำได้สวยงามเท่ากับชุดที่คว้าเหรียญทอง 2 สมัยก่อนหน้า แต่สิ่งที่ต้องชื่นชมอย่างมากกับความสำเร็จที่กัวลาลัมเปอร์ คือเกมรับอันเหนียวแน่น

ไทยเสียแค่ประตูเดียวตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ แถมประตูที่ว่ายังมาจากจุดโทษในนัดเปิดสนามกับ อินโดนีเซีย ด้วย นอกนั้น นนท์ ม่วงงาม ยังไม่เคยก้มเก็บบอลจากก้นตาข่ายเลย

ในเกมนัดชิงชนะเลิศ ทีมช้างศึกช่วยกันยืนตำแหน่งปิดการต่อบอลเข้าทำจากเจ้าภาพในเขตโทษได้อย่างแข็งแกร่ง โดยจากโอกาสยิงทั้งหมด 10 ครั้ง ของทีมเสือเหลือง มีถึง 5 ครั้ง ที่ต้องอาศัยการลองส่องไกลจากนอกเขตโทษ

ขณะที่ 2 จาก 5 โอกาสในเขตโทษของฝั่งตรงข้าม ต้องลุ้นจากจังหวะขึ้นดวลโหม่งลูกกลางอากาศ ไม่ใช่การได้สับไกยิงแบบถนัด

3. เจนรบเก็บบอลข้างหน้าได้ดี

Fact หลังเกม : 5 เหตุผลสนับสนุน ไทยคู่ควรแล้ว ได้เฮนัดชิงซีเกมส์
Fact หลังเกม : 5 เหตุผลสนับสนุน ไทยคู่ควรแล้ว ได้เฮนัดชิงซีเกมส์

เกมเมื่อคืนนี้ เจนรบ สำเภาดี คือแข้งไทยคนแรกที่หาจังหวะสับไกยิงได้ และซัดด้วยซ้ายหลุดเสาไปนิดเดียวเท่านั้น

หัวหอกกัปตันทีมจาก บีอีซี เทโรศาสน อาจจะขาดความเด็ดขาดในจังหวะสุดท้าย อาจครองบอลไว้กับตัวนานเกินไป แต่เมื่อไรที่บอลถูกสาดไปข้างหน้า เจนรบ มักพาตัวเองไปเก็บบอลได้เสมอ ถึงปล่อยบอลช้า แต่ก็ไม่ปล่อยให้คู่แข่งเอาไปเล่นต่อง่ายๆ

ในครึ่งหลังมีจังหวะที่กองหน้าวัย 22 โชว์ความฟิตตอนโต้กลับ กระชากบอลจากฝั่งซ้ายเข้าเขตโทษ และไม่กี่วินาทีต่อจากนั้น ไทยเกือบได้ประตูจากชอตที่ วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ แปจ่อๆ โดนสกัดหวุดหวิด

ยังมีอีกจังหวะที่ วรชิต กระโดดแปไปติด อดัม นอร์ อัซลิน สกัดหวุดหวิดในนาที 61 ซึ่งชอตดังกล่าว คนที่เปิดมาให้ยิงก็คือหัวหอกจากทีมมังกรไฟคนนี้

4. ศศลักษณ์ ตัวทีเด็ด

Fact หลังเกม : 5 เหตุผลสนับสนุน ไทยคู่ควรแล้ว ได้เฮนัดชิงซีเกมส์
Fact หลังเกม : 5 เหตุผลสนับสนุน ไทยคู่ควรแล้ว ได้เฮนัดชิงซีเกมส์

หากจะมอบตำแหน่ง แมน ออฟ เดอะ แมตช์ เราขอยกให้ ศศลักษณ์ ไหประโคน ตัวริมเส้นจาก บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่เป็นคนเปิดเตะมุม นำมาสู่ประตูชัยที่นายทวารเจ้าภาพชกเข้าโกลตัวเองในครึ่งแรก

นอกจากมีส่วนกับประตูชัยโดยตรงแล้ว ยังมีอีกหลายจังหวะที่อดีตดาวเตะ แบงค็อก ยูไนเต็ด โชว์ความอันตรายในการเล่นลูกตั้งเตะ แถมมีความเร็วและความฟิตเต็มเปี่ยม ช่วยทั้งรุกและรับให้ชาติได้ตลอด 90 นาที

5. คู่แข่งยังคงสู้เราไม่ได้!!

Fact หลังเกม : 5 เหตุผลสนับสนุน ไทยคู่ควรแล้ว ได้เฮนัดชิงซีเกมส์
Fact หลังเกม : 5 เหตุผลสนับสนุน ไทยคู่ควรแล้ว ได้เฮนัดชิงซีเกมส์

ต้องไม่ลืมว่า ทีมชาติไทยไม่ได้ขนนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ไปชิงชัยที่กัวลาลัมเปอร์แม้แต่คนเดียว

นั่นจึงไม่น่าแปลกใจที่ทำไมรูปทรงการเล่น อาจไม่ลื่นไหล และเด็ดขาดเท่ากับชุดเหรียญทองครั้งก่อนๆ ที่มีแข้งชั้นยอดอย่าง ชนาธิป สรงกระสินธ์, สารัช อยู่เย็น, ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ หรือ ธนบูรณ์ เกษารัตน์ ลงเป็นแกนหลัก

นักเตะอย่าง นนท์ ม่วงงาม, วรวุฒิ นามเวช คือตัวสำรองยาวของต้นสังกัด หรือแม้แต่ เจนรบ สำเภาดี กับ วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ ก็ยังไม่ใช่นักเตะระดับแกนหลักของสโมสร

ขณะที่ ศฤงคาร พรมสุภะ ก็มาจากทีมเอ็ม 150 แชมเปี้ยนชิพอย่าง ระยอง เอฟซี 

…แต่เหรียญทองยังคงเป็นของทีมชาติไทย ชุดที่ใครๆ ก็ว่าขี้เหร่ที่สุดชุดหนึ่ง

จะสู้กับทีมชั้นนำในระดับเอเชียได้ไหม…คงลำบาก แต่ถ้าหากวัดเฉพาะอาเซียน ไทยยังเป็นเบอร์หนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย