1. อาจเป็นนัดสุดท้ายของ “ซาร์รี่”
เมาริซิโอ ซาร์รี่ กุนซือของ เชลซี กำลังตกอยู่ในสถานการณ์กดดันสุดๆ หลังพาทีมทำผลงานย่ำแย่ในช่วงหลัง จนร่วงลงมาอยู่อันดับ 6 ในลีก แถมเพิ่งตกรอบ เอฟเอ คัพ อีกต่างหาก
อดีตกุนซือนาโปลี ถูกวิจารณ์อย่างหนักเรื่องความดื้อด้านในการใช้แท็กติกเดิมๆ คือ 4-3-3 และยึดติดกับการให้ จอร์จินโญ่ ยืนเป็นกองกลางตัวต่ำสุด แทนที่จะใช้ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ รับบทบาทมิดฟิลด์ตัวรับตามถนัด
หากผลงานออกมาดี ก็คงไม่มีใครว่าอะไร แต่พอผลงานออกมาแย่ จึงไม่แปลกใจที่ใครๆ ก็จ้องโจมตีแผนของโค้ชชาวอิตาเลียนรายนี้
มีข่าวลืออย่างหนักว่า ซาร์รี่ มีโอกาสโดนปลดออกจากตำแหน่ง หากไม่สามารถพาทีมคว้าแชมป์ คาราบาว คัพ ได้สำเร็จ เพราะถ้าหากไม่ได้ถ้วยนี้ ถือว่า เชลซี มีโอกาสสูงมาก ที่จะจบซีซั่นโดยไม่ได้แชมป์อะไรเลย
แต่ถ้าหากทีมสิงโตน้ำเงินครามเป็นฝ่ายได้ฉลองชัย นี่จะเป็นการคว้าแชมป์เมเจอร์รายการแรก ในชีวิตการคุมทีมของ ซาร์รี่ เลยทีเดียว
2. ผู้ชนะ จะได้แชมป์ถ้วยนี้สมัยที่ 6
เชลซี และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต่างได้แชมป์ ลีก คัพ ของอังกฤษ ทีมละ 5 สมัยเท่ากัน น้อยกว่า ลิเวอร์พูล ที่ครองสถิติได้แชมป์ถ้วยนี้มากที่สุด (8 สมัย) เพียงทีมเดียวเท่านั้น
สำหรับ เชลซี ได้แชมป์รายการนี้หนล่าสุดในปี 2015 ภายใต้การคุมทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ ซึ่งพาทีมได้แชมป์ในปี 2005 และ 2007 เช่นกัน
ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือแชมป์เก่าจากฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งถ้าหาก เป๊ป กวาร์ดิโอล่า พาเรือใบสีฟ้าได้ฉลอง จะทำให้ แมนฯ ซิตี้ คือทีมที่ 4 ในประวัติศาสตร์ ที่ป้องกันแชมป์ ลีก คัพ อังกฤษ ได้สำเร็จ ต่อจาก น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์, ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
3. โอกาสลงเฝ้าเสาของโกลมือสอง 2 ฝั่ง
มีโอกาสสูงที่ทั้ง เชลซี และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะไม่ได้ใช้ผู้รักษาประตูมือหนึ่งลงเฝ้าเสาในเกมสำคัญคืนนี้
แมนฯ ซิตี้ ใช้งาน อาริยาเน็ต มูริช โกลดาวรุ่งทีมชาติโคโซโว ลงเล่นในศึก คาราบาว คัพ ฤดูกาลนี้ครบทุกนัด ซึ่งเจ้าตัวเป็นฮีโร่พาทีมดวลจุดโทษชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ มาในรอบ 8 ทีมสุดท้าย และนอกจากเกมดังกล่าว ก็ไม่เสียประตูเลยในรายการนี้
ขณะที่ เชลซี มีโอกาสสูงที่จะอดใช้งาน เกปา อาร์รีซาบาลาก้า นายด่านมือหนึ่งชาวสเปน เจ้าของสถิติผู้รักษาประตูค่าตัวแพงสุดในโลก เพราะมีอาการบาดเจ็บมาตั้งแต่ก่อนเกม ยูโรปา ลีก กลางสัปดาห์แล้ว
ถ้าหาก เกปา ไม่สามารถฟิตกลับมาได้ทัน ก็จะเป็นโอกาสของ วิลลี่ กาบาเยโร่ ซึ่งจะได้ลงเฝ้าเสาเจอกับทีมเก่า ซึ่งเขาเคยพาเรือใบสีฟ้าดวลจุดโทษชนะ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ถ้วยนี้ในปี 2016 มาแล้วด้วย
4. สิงห์จะใช้แผนเดิมแล้วแพ้อีกไหม?
ทั้ง 2 ทีมเพิ่งจะเจอกันมาในเกมพรีเมียร์ลีกนัดล่าสุด เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดบ้านถล่มไป 6-0
ในเกมนั้น ทีมเรือใบสีฟ้าอ่านแท็กติกของ เชลซี ได้แบบทะลุปรุโปร่ง คือบีบสูงเข้าใส่ จอร์จินโญ่ ตัวเชื่อมเกมของทีมสิงห์บลูส์ ซะจนคู่แข่งตั้งเกมไม่ได้ ก่อนอาศัยความเด็ดขาดในการจบสกอร์ ต้อนชนะไปแบบขาดลอย
ที่น่าสนใจก็คือ ทั้งแฟนบอล, นักข่าว และกุนซือแทบทุกคน คาดเดาแผนการเล่น และการจัดทีมของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ได้ง่ายมาก คือจะใช้ระบบ 4-3-3 และจะเปลี่ยนตัวผู้เล่นแบบตำแหน่งต่อตำแหน่ง ไม่มีการเปลี่ยนรูปแบบเลย ไม่ว่าจะสถานการณ์ใดก็ตาม
แล้วถ้าหากคืนนี้ ซาร์รี่ ยังดึงดันจะใช้แผนเดิม ซึ่งเคยโดน แมนฯ ซิตี้ ถล่มเละมาแล้วอีก ผลลัพธ์ของเกมจะเหมือนเดิมหรือไม่?
5. “กุน” จะเป็นตัวแสบอีกหรือไม่
เซร์คิโอ อเกวโร่ คือนักเตะที่น่าจับตามองที่สุดของเกมคืนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย หลังจากเป็นคนกดแฮตทริก พา แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถล่ม เชลซี 6-0 ในการเจอกันครั้งล่าสุด โดยในศึก คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ก่อนเปิดซีซั่น เจ้าตัวก็เหมาสองลูก พาเรือใบสีฟ้าชนะ 2-0 คว้าโล่การกุศลก่อนแล้ว
โดยดาวยิงทีมชาติอาร์เจนตินา ลุ้นทำสถิติเป็นนักเตะคนที่ 2 ที่ยิงประตูในนัดชิงรายการนี้ได้ 2 ปีติดต่อกัน ต่อจาก ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา อดีตกองหน้าของ เชลซี ที่ทำได้ในปี 2007 และ 2008
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะรักษาความหวังลุ้นกวาดแชมป์ทุกถ้วย หรือว่า เชลซี จะได้แชมป์แรกภายใต้การคุมทีมของ ซาร์รี่ คืนนี้เรารู้กัน!!
