เกิดอะไรกับหงส์แดง!! 5 จุดเห็นชัด พา ลิเวอร์พูล ฟอร์มสะดุด

เกิดอะไรกับหงส์แดง!! 5 จุดเห็นชัด พา ลิเวอร์พูล ฟอร์มสะดุด
เกิดอะไรกับหงส์แดง!! 5 จุดเห็นชัด พา ลิเวอร์พูล ฟอร์มสะดุด

5 จุดที่สังเกตเห็นได้ชัดเจน จากผลงานของ ลิเวอร์พูล ที่เริ่มตกลงไปในช่วงหลัง

สถานการณ์ลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ จากที่ ลิเวอร์พูล ทำท่าว่าจะไม่พลาดแน่ๆ ในช่วงก่อนขึ้นปีใหม่ กลายเป็นว่าตอนนี้ บรรดา “เดอะ ค็อป” ต้องลุ้นหนัก ว่าทีมรักจะโดนแชมป์เก่าอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แซงหน้าหรือไม่ซะแล้ว

ย้อนกลับไป ณ วันขึ้นปีใหม่ปี 2019 ทีมหงส์แดงมีคะแนนนำห่างเรือใบสีฟ้ามากถึง 7 แต้ม แต่ความพ่ายแพ้ในลีกเป็นครั้งแรกที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม ทำให้ช่องว่างถูกลดลงมาเหลือ 4 คะแนน

ซึ่งแม้ว่า แมนฯ ซิตี้ จะมีสะดุดให้เห็นบ้าง แต่การที่ ลิเวอร์พูล ทำได้แค่เสมอคู่แข่งมา 2 นัดติดต่อกัน ทำให้ช่องว่างที่ควรจะกลับไปนำ 7 แต้มเท่าเดิม กลับกลายเป็นนำห่างแค่ 3 แต้มเท่านั้น และหากทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า บุกชนะ เอฟเวอร์ตัน ในคืนวันพุธได้อีก จะกลายเป็นว่าเรือใบสีฟ้าจะแซงขึ้นนำจ่าฝูง ด้วยผลต่างประตูได้-เสียที่เหนือกว่าทันที

หากใครได้ติดตามชมเกมของ ลิเวอร์พูล ในช่วงหลัง จะรู้สึกได้เลยว่าทีมหงส์แดงในตอนนี้เริ่มเผยจุดอ่อนให้เห็นออกมาเรื่อยๆ และนี่คือ 5 จุดที่น่าเป็นห่วง ที่เป็นสาเหตุให้พวกเขาเริ่มผลงานดร็อปลงอยู่ในตอนนี้

 

1. “มาติป” ไว้ใจไม่ได้

อาการบาดเจ็บยาวของ โจ โกเมซ และ เดยัน ลอฟเรน ทำให้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องใช้บริการ โฌแอล มาติป จับคู่เซนเตอร์แบ็กกับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ อย่างต่อเนื่องอยู่ ณ ขณะนี้

แต่นับตั้งแต่ มาติป หายจากอาการบาดเจ็บ กลับมาลงตัวจริงในแผงหลัง 3 นัดล่าสุด ทีมจ่าฝูงก็ไม่สามารถเก็บคลีนชีตได้อีกเลย

ยิ่งไปกว่านั้นคือ 3 เกมหลังสุดในพรีเมียร์ลีก ทีมหงส์แดงมีชอตเสียประตูจากจังหวะลูกเซตพีซทุกนัด ไม่ว่าจะเป็นเกมเฉือน คริสตัล พาเลซ 4-3 หรือเสมอกับ เลสเตอร์ และ เวสต์แฮม ด้วยสกอร์ 1-1

ในนัดล่าสุดที่บุกเยือนทีมขุนค้อน ลิเวอร์พูล เผยจุดอ่อนในเรื่องการป้องกันลูกฟรีคิก โดยเสียประตูจากลูกสูตรเคาะแล้วจ่ายสั้นของ เวสต์แฮม ซึ่งจบด้วยการทำประตูของ มิคาอิล อันโตนิโอ และเกือบจะโดนลูกที่สองก่อนหมดครึ่งแรกจากลูกสูตรฟรีคิกอีกครั้ง แต่ เดคแลน ไรซ์ โฉบเข้าโหม่งหลุดกรอบไปนิดเดียว

จากจุดอ่อนตรงนี้ที่คู่แข่งเริ่มสังเกตเห็น เชื่อว่าทีมหงส์แดงต้องเจองานหนักในการรับมือลูกโด่งมากขึ้นกว่าเดิมแน่ ในช่วง 13 นัดที่เหลือของฤดูกาล

 

2. “เกอิต้า” สอบไม่ผ่านซะที

ในบรรดานักเตะที่ย้ายเข้ามาสู่รั้วแอนฟิลด์เมื่อช่วงซัมเมอร์ ต้องบอกว่า นาบี เกอิต้า น่าจะเป็นผู้เล่นที่น่าผิดหวังที่สุด และน่าจะเป็นคนเดียวที่แฟนหงส์ยังไม่ประทับใจ เมื่อเทียบกับ อาลีสซง เบ็คเกอร์, เซอร์ดาน ชากิรี่ หรือ ฟาบินโญ่

กองกลางทีมชาติกินี ทำแอสซิสต์ได้เพียงลูกเดียวเท่านั้นในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ คือการจ่ายให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ใช้ความสามารถเฉพาะตัว กดประตูใส่ คริสตัล พาเลซ และสถิติการสร้างโอกาสให้เพื่อนทำประตูได้เพียง 6 ครั้ง นับตั้งแต่นัดเปิดฤดูกาล ถือว่ายังต่ำกว่ามาตรฐานที่แฟนคาดหวัง

เกอิต้า ยังช่วยเกมรับของทีมได้ไม่ดีเท่าไรนักด้วย โดย 2 เกมหลังสุดที่เสมอกับ เลสเตอร์ และ เวสต์แฮม เขาไม่สามารถเอาชนะในการเข้าปะทะคู่แข่งได้เลย และมีช็อตทำทีมเสียจังหวะในการต่อบอลขึ้นเกมรุกหลายต่อหลายครั้ง

ถึงตอนนี้ บางทีบรรดา “เดอะ ค็อป” น่าจะอยากเห็น จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม รวมถึง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน หายเจ็บกลับมาช่วยทีมไวๆ มากกว่า

และอาจรวมไปถึงแบ็กขวาอย่าง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ อีกคนด้วย เพราะถ้าหาก เจมส์ มิลเนอร์ ได้เล่นในตำแหน่งกองกลางตัว Box to Box ก็น่าจะทำประโยชน์ได้มากกว่าลงไปยืนแบ็กขวาแก้ขัด

 

3. ขาดทีเด็ดลูกยิงไกล

ลิเวอร์พูล ได้ประตูจากการยิงจากนอกกรอบเขตโทษเพียง 4 ประตู เท่านั้นจากทั้งหมด 56 ประตู ที่ทำได้ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ และถือว่าน้อยที่สุดในบรรดาทีมระดับท็อปซิกซ์ของตาราง

ในขณะที่คู่แข่งลุ้นแชมป์ทีมอื่นๆ มีอาวุธเด็ดจากการยิงจากแถวสอง แมนฯ ซิตี้ มีอาวุธรอบทิศทางจากทุกตำแหน่ง, แมนฯ ยูไนเต็ด มีนักเตะอย่าง ปอล ป็อกบา, ทางด้าน อาร์เซน่อล ก็มี กรานิต ชาก้า ที่ซัดได้ลุ้น หรือ สเปอร์ส มีตัวยิงไกลระดับท็อปอย่าง คริสเตียน เอริคเซ่น

แต่ทีมหงส์แดงไม่มีกองกลางที่ สามารถวิ่งขึ้นมาส่องไกลหวังผลได้จริงๆ จังๆ เลย

หากจะมีคนที่พอได้ลุ้น น่าจะเป็น เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แต่ก็สภาพร่างกายยังไม่สมบูรณ์ แถมเล่นตำแหน่งแบ็กขวาอีกต่างหาก

ด้วยเหตุนี้ คู่แข่งจึงใช้วิธี “จอดรถบัส” ถอยลงไปป้องกันต่ำในกรอบเขตโทษ ก็สร้างความลำบากให้แนวรุก ลิเวอร์พูล ได้แล้ว

4. ตัวสำรองไร้ทีเด็ด

นับตั้งแต่เกมแดงเดือดที่ เซอร์ดาน ชากิรี่ ลงมาเป็นซูเปอร์ซับ ซัดคนเดียว 2 ประตูพา ลิเวอร์พูล ชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 3-1 หลังจากนั้นมาอีก 9 นัดติดต่อกัน รวมทุกถ้วย ทีมหงส์แดงก็ไม่ได้ประตูจากผู้เล่นตัวสำรองอีกเลย

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ เจอร์เก้น คล็อปป์ ให้โอกาส ชากิรี่ ลงตัวจริงบ่อยขึ้น ในระบบ 4-2-3-1 แต่การอัดตัวรุก 4 จตุรเทพลงพร้อมกันหมด ก็ทำให้ทีเด็ดบนม้านั่งสำรองลดน้อยลงไปด้วย

เมื่อคืนนี้ ชากิรี่ อาจลงมาเป็นตัวสำรอง เพราะคนที่ลงก่อนคือ อดัม ลัลลาน่า ที่สนิมเกาะฝีเท้าไปเยอะ แต่ปีกทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ก็ช่วยอะไรไม่ได้นัก

ที่น่าเป็นห่วงคือคุณภาพของกองหน้าตัวสำรองซะมากกว่า เห็นได้ชัดว่า ดิว็อค โอริกี้ ถูกจับดองนานเกินไป จนจังหวะจบสกอร์ไม่เป็นธรรมชาติ

ซึ่งประตูเดียวที่ โอริกี้ ทำได้ในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ มาจากลูกส้มหล่นที่ จอร์แดน พิคฟอร์ด ปัดมาให้โหม่งจ่อๆ ในเกมเฉือน เอฟเวอร์ตัน 1-0

แดเนียล สเตอร์ริดจ์ ก็เป็นอีกคน ที่ได้โอกาสลงเล่นน้อยจนคุณภาพตกลงไป นับตั้งแต่เขายิงได้ในเกมกับ เชลซี เมื่อเดือนกันยายน ก็ยังทำประตูไม่ได้อีกเลยมาจนถึงทุกวันนี้

 

5. ความมั่นใจที่ลดลง

ก่อนขึ้นปี 2019 ลิเวอร์พูล ระเบิดฟอร์มสุดยอด ด้วยการชนะ 6 นัดติดต่อกันในพรีเมียร์ลีก โดยทั้ง 6 นัดชนะด้วยสกอร์ห่างอย่างน้อย 2 ลูก

ณ เวลานั้น ทีมหงส์แดงยังฝันถึงการคว้าแชมป์แบบ “ไร้พ่าย” ด้วยซ้ำ แต่พอเสียสถิติด้วยการบุกแพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตามติดมาด้วยการตกรอบ เอฟเอ คัพ อย่างรวดเร็ว บรรยากาศที่เคยมั่นใจว่าเจอใครก็ได้ กลับกลายเป็นเล่นแบบกดดันซะอย่างนั้น

4 เกมหลังสุดที่ผ่านมา แม้ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะพาทีมไม่แพ้เลย (ชนะ 2 เสมอ 2) แต่รูปเกมก็ไม่ได้ข่มคู่แข่งเหมือนช่วงครึ่งซีซั่นแรก

อาลีสซง เบ็คเกอร์ จากที่เคยเก็บคลีนชีตเป็นว่าเล่น กลายเป็นช่วงหลังโดนส่องประตูซะบ่อยๆ

และการที่ต้องเริ่มคำนึงถึงผลการแข่งขันมากยิ่งขึ้น เพราะช่องว่างที่โดน แมนฯ ซิตี้ ไล่จี้มาหายใจรดต้นคอ ทำให้พวกเขาไม่ได้บุกแบบน่าตื่นตาตื่นใจเหมือนที่เราเคยเห็น

น่าจับตาดูว่า หากวันพุธนี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ฉวยโอกาสแซงหน้าขึ้นไปนำจ่าฝูงได้ก่อน จะทำให้โปรแกรมวันเสาร์หน้าที่ ลิเวอร์พูล จะพบ บอร์นมัธ มีความกดดันกว่าเดิมหรือไม่

เพราะถ้าทีมเรือใบสีฟ้า พลิกสถานการณ์กลับมาเป็นผู้นำแทน แล้วฝ่ายที่สะดุดกลายเป็นหงส์แดงบ้าง การจะแซงคู่แข่งกลับไปอยู่จุดสูงสุดอีกครั้ง จะเป็นเรื่องยากกว่าตอนต้นซีซั่นแน่