ปัญหาคือตรงไหน?? 5 เหตุผล ทำไม แมนฯ ซิตี้ จู่ๆ ฟอร์มตกเหลือเชื่อ

ปัญหาคือตรงไหน?? 5 เหตุผล ทำไม แมนฯ ซิตี้ จู่ๆ ฟอร์มตกเหลือเชื่อ
ปัญหาคือตรงไหน?? 5 เหตุผล ทำไม แมนฯ ซิตี้ จู่ๆ ฟอร์มตกเหลือเชื่อ

5 เหตุผลที่ทำให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ฟอร์มตกอย่างน่าใจหาย จนพ่ายแพ้ 2 นัดติดต่อกันในพรีเมียร์ลีก

ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งมีสถานะเป็นแชมป์เก่าพรีเมียร์ลีก ที่ทำแต้มในฤดูกาลเดียวได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ และถูกยกให้เป็นเต็ง 1 ที่จะคว้าแชมป์อีกครั้งในซีซั่นนี้ ทำท่าว่าจะไม่สามารถป้องกันแชมป์ได้สำเร็จซะแล้ว

หลังจากผ่านครึ่งทางของฤดูกาล ทีมเรือใบสีฟ้าไม่เพียงแต่จะต้องตามหลังจ่าฝูงอย่าง ลิเวอร์พูล ห่าง 7 แต้มเท่านั้น แต่ยังโดน ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ แซงขึ้นไปรั้งอันดับ 2 แทนอีกด้วย เพราะช่วงที่ แมนฯ ซิตี้ แพ้ 2 นัดติดในลีก ทั้งหงส์แดงและไก่เดือยทอง ต่างคว้าชัยแบบสวยงามโดยไม่สะดุด

การที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งถูกยกว่าเป็น “ยอดทีม” ต้องมาแพ้ให้ทีมที่ศักยภาพเป็นรองถึง 2 นัดติดต่อกัน ไม่ใช่เรื่องปกติ และนี่ก็น่าจะเป็นสาเหตุสำคัญ 5 ข้อ ที่ทำให้เรือใบสีฟ้าไม่ได้อยู่ในฟอร์มที่น่ากลัวเหมือนเดิม

“เดลฟ์” ออกทะเล

นักเตะที่แฟนทีมเรือใบสีฟ้าชี้ว่าเป็นจุดอ่อนของทีมมากที่สุด คือ ฟาเบียน เดลฟ์ ซึ่งต้องรับบทแบ็กซ้ายจำเป็น ในช่วงที่ เบนฌาแม็ง เมนดี้ มีอาการบาดเจ็บ

แม้ฤดูกาลก่อน เดลฟ์ จะทำผลงานในตำแหน่งแบ็กซ้ายได้ดี และช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ลีก ทว่าจากการที่ซีซั่นนี้ เขาไม่ได้ออกสตาร์ทด้วยการเป็นตัวหลัก พอได้กลับมาประจำตำแหน่งเดิมอีกครั้ง ก็ทำผลงานได้ไม่ดีเหมือนเดิม

ในเกมที่ แมนฯ ซิตี้ บุกแพ้ เลสเตอร์ ดาวเตะทีมชาติอังกฤษยืนตำแหน่งพลาด และต้องรับผิดชอบเต็มๆ กับการปล่อยให้ มาร์ค อัลไบรท์ตัน โหม่งตีเสมอง่ายๆ ก่อนช่วงท้ายเกมจะมาโดนใบแดงไล่ออกจากสนามอีกต่างหาก

ดูเหมือนว่า เดลฟ์ จะรับผิดชอบเกมรับได้ไม่มีวินัยเท่าที่ควร โดยมักยืนสูงไปถึงแดนคู่แข่งมากกว่าประจำการในแดนตัวเอง ซึ่งสถิติระบุว่า 2 นัดหลังสุด ที่ทีมแพ้ คริสตัล พาเลซ และ เลสเตอร์ ซิตี้ เขาได้สัมผัสบอลถึง 190 ครั้ง แต่มีแค่ 12 ครั้งเท่านั้น ที่อยู่ช่วยทีมในการป้องกันในแดนสุดท้ายของฝั่งตัวเอง

ขาด “แฟร์นันดินโญ่” ในแดนกลาง

ในศึกพรีเมียร์ลีก 17 นัดแรกของฤดูกาลนี้ แมนฯ ซิตี้ ใช้งาน แฟร์นันดินโญ่ เป็นตัวจริงในแดนกลางทุกนัด ทว่า 2 เกมหลังสุดที่เขามีปัญหาเจ็บกล้ามเนื้อต้นขา และฟิตไม่พร้อมลงช่วยทีมได้ เรือใบสีฟ้าต้องพบกับความพ่ายแพ้ทั้ง 2 เกม

แฟร์นันดินโญ่ คือกองกลางที่ทำสถิติผ่านบอล, เข้าปะทะ และตัดบอลได้มากที่สุดของทีมในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ จึงเป็นคนที่สำคัญที่สุดในแผงมิดฟิลด์ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า อย่างไม่ต้องสงสัย

สถิติระบุว่า นับตั้งแต่ เป๊ป มาคุม แมนฯ ซิตี้ เมื่อปี 2016 เรือใบสีฟ้าจะมีเปอร์เซ็นต์ชนะสูงถึง 71.3% หากมี แฟร์นันดินโญ่ ลงเล่น แต่เมื่อกองกลางแซมบ้าชวดลงสนาม เปอร์เซ็นต์ชนะจะลดลงเหลือเพียง 59.3% เท่านั้น

แม้แชมป์เก่าพรีเมียร์ลีก จะยังมี อิลคาย กุนโดกัน เป็นตัวแทน แต่ก็ยังไม่สามารถเล่นได้ในแบบที่ดาวเตะวัย 33 ปีทำได้เลย

อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวแล้ว แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จำเป็นต้องหาซื้อกองกลางเชิงรับระดับคุณภาพเข้ามาเสริมโดยด่วน เพราะด้วยอายุของ แฟร์นันดินโญ่ ตอนนี้ เขาไม่ควรที่จะต้องแบกภาระต้องลงให้ทีมทุกนัด โดยขาดเขาไม่ได้อีกแล้ว

 

“เป๊ป” ใช้นักเตะเล่นตำแหน่งไม่ถนัดบ่อยเกินไป

แม้ว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จะเป็นโค้ชที่ขึ้นชื่อเรื่องการทำให้นักเตะเล่นได้หลากหลาย และดึงศักยภาพผู้เล่นออกมาได้อย่างไม่มีขีดจำกัด แต่บางครั้ง การตัดสินใจใช้งานนักเตะไปเล่นในตำแหน่งที่ไม่ถนัด ก็ใช่ว่าจะได้ผลดีเสมอไป

ความพ่ายแพ้ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทั้ง 3 นัดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ล้วนเป็นเกมที่กุนซือชาวกาตาลัน ใช้ผู้เล่นลงเล่นในตำแหน่งที่ไม่ใช่ธรรมชาติของพวกเขา

เกมบุกแพ้ เชลซี 0-2 เขาไม่ใช้กองหน้าอาชีพลงตัวจริง โดยขยับ ราฮีม สเตอร์ลิง ไปยืนเป็นกองหน้าตัวเป้า ซึ่งมีส่วนทำให้กองหลังของ เชลซี ป้องกันได้ง่ายขึ้นไม่น้อย

จากนั้นในวันที่พลิกล็อคพ่าย คริสตัล พาเลซ คาบ้านตัวเอง 2-3 เขาเลือกใช้ จอห์น สโตนส์ ซึ่งจริงๆ เป็นกองหลัง ขึ้นไปยืนเป็นกองกลางตัวรับแทนที่ แฟร์นันดินโญ่ และเกมก็ไม่ได้ดีเท่าที่ควร

ส่วนนัดล่าสุด ก็คงได้เห็นกันแล้วว่า ฟาเบียน เดลฟ์ ไม่เหมาะจะรับหน้าที่แบ็กซ้ายไปตลอด ซึ่งปัญหาเหล่านี้ น่าจะทำให้ แมนฯ ซิตี้ พิจารณาเรื่องการเสริมทัพในตำแหน่งแบ็กซ้ายธรรมชาติ รวมถึงกองกลางตัวรับมาอีกอย่างจริงจัง

 

คู่แข่งจะยิ่งเน้นมากขึ้น เพราะต้องเจอ “แชมป์เก่า”

การที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลที่แล้ว ด้วยการทำได้ถึง 100 แต้มเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ กลายเป็นการทำให้คู่แข่งต้องระวังทีมเรือใบสีฟ้ามากขึ้น มีสมาธิตลอด 90 นาทีมากยิ่งขึ้น

หลายๆ ทีมทุ่มเท และเค้นศักยภาพออกมาในนัดที่พบกับทีมเรือใบสีฟ้า ได้มากกว่าเกมอื่นๆ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกว่า ทำไม เชลซี ที่เป็นทีมแรกที่ชนะ แมนฯ ซิตี้ จะสะดุดพลาดท่าในการเจอกับทีมอย่าง วูล์ฟแฮมป์ตัน 

หรือว่า คริสตัล พาเลซ ที่อุตส่าห์บุกไปชนะถึง เอติฮัด สเตเดี้ยม กลับทำได้แค่เปิดบ้านเสมอกับทีมท้ายตารางอย่าง คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้

ด้วยเหตุนี้ นัดส่งท้ายปีที่ แมนฯ ซิตี้ จะต้องบุกไปเยือน เซาธ์แฮมป์ตัน ก็ยังไม่ใช่นัดที่จะประมาทได้อีก ไม่อย่างนั้นมีโอกาสชวด 3 แต้ม 3 นัดซ้อนได้เหมือนกัน

เริ่มกดดัน เมื่อโดนหงส์แดงทิ้งห่าง

ในช่วงปลายเดือนตุลาคม จนถึงต้นเดือนธันวาคม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะแม้จะโดน ลิเวอร์พูล ไล่บี้มาเรื่อยๆ แต่ตำแหน่งจ่าฝูงของพรีเมียร์ลีก ยังคงเป็นทีมเรือใบสีฟ้ายึดไว้อยู่

ทว่านับตั้งแต่บุกแพ้ เชลซี 2-0 หลังจากนั้นมา แมนฯ ซิตี้ ลงเตะอีก 3 นัด พบกับความพ่ายแพ้ถึง 2 เกม โดยเกมเดียวที่ชนะในรอบ 4 นัดหลัง คือการลงเตะช่วงหัวค่ำ และเปิดบ้านชนะ เอฟเวอร์ตัน 3-1 ซึ่งทำให้พวกเขานำจ่าฝูงชั่วคราวด้วย

ทว่าหลังจากนั้นแค่วันเดียว ลิเวอร์พูล คว้าชัยชนะเหนือ แมนฯ ยูไนเต็ด 3-1 ในเกมแดงเดือด ทวงจ่าฝูงคืนได้สำเร็จ ก่อนที่หงส์แดงจะชิงจังหวะนำห่าง 4 แต้ม เพราะบุกชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน 2-0 ซึ่งเป็นเกมที่เตะในคืนวันศุกร์

แมนฯ ซิตี้ ที่โดนทิ้งห่างไปแล้ว 4 แต้ม ก่อนแข่งกับ คริสตัล พาเลซ เมื่อวันเสาร์ อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มั่นใจเหมือนก่อน เพราะต่อให้ชนะก็ยังทวงจ่าฝูงคืนมาไม่ได้ และสุดท้ายก็ต้องแพ้คาบ้านไป ก่อนจะมาโดน เลสเตอร์ แซงอัดไปด้วยสกอร์ 2-1 อีกในเกมล่าสุด

 

อย่างไรก็ตาม ศึกพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ ยังเหลือเส้นทางอีกยาวไกลให้ได้ลุ้นกัน และช่องว่างที่ตามหลังจ่าฝูง 7 แต้ม ใช่ว่าทีมระดับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะพลิกสถานการณ์กลับมาแซงไม่ได้