สำหรับเกมใหญ่เมื่อคืนที่ผ่านมา มีอะไรที่น่าพูดถึงบ้าง เราขอสรุป 5 ประเด็นใหญ่ๆ มาฝากกัน…
หมากที่กุนซือชาวกาตาลันจัดให้ทีมเรือใบสีฟ้ารับมือปืนใหญ่ คือ 3-2-4-1 ใช้ ไคล์ วอล์คเกอร์, นิโกลัส โอตาเมนดี้ และ อายเมอริค ลาป๊อร์กต์ เล่นหลังร่วมกัน และขยับขึ้นมาหน้าแผงแบ็กทรี จะมี แฟร์นันดินโญ่ กับ อิลคาย กุนโดกัน คอยรับบอล เพื่อเชื่อมเกมต่อไปยังตัวทำเกมรุกทั้ง 4 คน ที่สนับสนุน เซร์คิโอ อเกวโร่ ที่ยืนห้อยหน้าเป้าตัวเดียว
แต่ในยามที่ แมนฯ ซิตี้ เสียการครองบอล หรือตกเป็นฝ่ายตั้งรับ แฟร์นันดินโญ่ จะขยับลงต่ำไปเป็นเซนเตอร์แบ็กอีกคน แล้วถ่าง อายเมอริค ลาป๊อร์กต์ ไปยืนแบ็กซ้าย ระบบจะกลายเป็น 4-1-4-1 แทน


การมีกองกลางที่รับส่งบอลได้ดีอยู่ตรงกลางสนามหลายคน ทำให้เจ้าถิ่นครองเกมบุกใส่อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งเกม บวกกับเมื่อคืนนี้ เป็นนัดที่ อาร์เซน่อล ไม่เพรสซิ่งกดดันทีมเรือใบสีฟ้ามากเท่าที่ควร ยิ่งทำให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พับสนามบุกได้ง่ายขึ้นเข้าไปใหญ่
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในครึ่งเวลาหลัง ที่ แมนฯ ซิตี้ ได้เปรียบจากการตุนสกอร์นำ แทนที่ อาร์เซน่อล จะบีบสูงเพื่อแก้เกม แต่ก็กลับปล่อยให้คู่แข่งต่อบอลได้แบบง่ายดาย จนทำให้สถิตินับเฉพาะครึ่งหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีโอกาสยิงมากถึง 13 ครั้ง ส่วนทีมปืนใหญ่ไม่ได้ลุ้นแม้แต่ครั้งเดียว
2. แฮตทริกของ “เอล กุน”


เซร์คิโอ อเกวโร่ คือแมตช์วินเนอร์ของเกมอย่างแท้จริง จากการเหมาซัดระยะเผาขนคนเดียว 3 ประตู ทำให้เจ้าตัวกลายเป็นนักเตะคนแรก ที่ทำแฮตทริกได้ถึง 2 ครั้งในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ต่อจากที่ทำได้ในเกมถล่ม ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ 6-1 เมื่อช่วงต้นซีซั่น
แม้ประตูที่ 3 ของดาวยิงอาร์เจนไตน์จะดูเหมือนเป็นจังหวะแฮนด์บอล เพราะลูกผ่านจาก ราฮีม สเตอร์ลิง มาโดนแขนของเขาก่อนจะกลิ้งเข้าประตู แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า “เอล กุน” มีสัญชาตญาณดาวยิง และหาตำแหน่งจบสกอร์ที่สุดยอดมากๆ ซึ่งนี่คือนัดที่สองติดต่อกัน ที่ อเกวโร่ ใช้เวลาไม่ถึงนาทีในการเบิกสกอร์แรกของเกม
และการที่ยิงได้ถึง 3 ลูกในเกมนี้ ทำให้หัวหอกวัย 30 ปี ทำแฮตทริกในพรีเมียร์ลีกครบ 10 ครั้ง เรียบร้อยแล้ว และขาดอีกเพียงครั้งเดียว ก็จะทาบสถิติของ อลัน เชียเรอร์ ในการเป็นผู้เล่นที่ทำแฮตทริกในพรีเมียร์ลีกมากที่สุด (11 ครั้ง) ด้วย
3. เอเมรี่ ยังคงหมางเมิน “โอซิล”


ในเกมที่ อาร์เซน่อล เปิดบ้านชนะ เชลซี 2-0 นั้น เมซุต โอซิล มีชื่อเป็นแค่ตัวสำรอง แต่ไม่ถูกส่งลงเล่นแม้แต่วินาทีเดียว เพราะ อูไน เอเมรี่ ต้องการนักเตะที่บีบเพรสซิ่งได้ดี ในการทำลายเกมแดนกลางของทีมของ เมาริซิโอ ซาร์รี่
แต่สำหรับนัดล่าสุดที่พ่าย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 3-1 แบบสู้ไม่ได้นั้น การที่อดีตจอมทัพทีมชาติเยอรมนี ไม่ถูกส่งลงสนามเลย ทั้งที่ทีมต้องการทางเลือกใหม่ๆ ในการทวงประตูคืน ถือเป็นเรื่องที่ไม่ปกติ
และที่แปลกไปกว่านั้นก็คือ 11 ตัวจริงที่ เอเมรี่ จัดลงสนามเจอทีมเรือใบสีฟ้า ก็ไม่มีชื่อของ อารอน แรมซี่ย์ ด้วยเช่นกัน แม้ดาวเตะทีมชาติเวลส์จะถูกส่งลงสนามแทน อเล็กซ์ อิโวบี้ ในนาที 67 แต่สถานการณ์ตอนนั้นที่ตามหลัง แมนฯ ซิตี้ ห่าง 3-1 และเจ้าบ้านครองเกมแบบสบายใจ ก็ยากที่จะพลิกสถานการณ์ได้
เกมนี้ เดนิส ซัวเรซ กองกลางตัวใหม่ที่เพิ่งยืมตัวมาจาก บาร์เซโลน่า ได้ลงประเดิมสนามให้ เดอะ กันเนอร์ส โดยลงไปแทน เซอัด โคลาซินัช ในนาที 67 เช่นกัน
ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนตัวที่ค่อนข้างขัดใจแฟนบอลพอสมควร เพราะในสถานการณ์ที่ทีมต้องการประตู โอซิล น่าจะเป็นตัวเลือกที่ช่วยทีมได้มากกว่านักเตะที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์กับบอลอังกฤษมาก่อน
4. “ลิคท์สไตเนอร์” คือจุดอ่อน


3 ประตูที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้เมื่อคืนนี้ ล้วนมาจากการเปิดบอลจากฝั่งซ้ายทั้งหมด ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ต้องรับผิดชอบกับความผิดพลาดเป็นคนแรก ต้องเป็นตำแหน่งวิงแบ็กขวาอย่าง สเตฟาน ลิคท์สไตเนอร์
จะเห็นได้ชัดว่า กองหลังตัวเก๋าทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ ไม่อาจรับมือกับความคล่องตัวของ ราฮีม สเตอร์ลิง, ดาบิด ซิลบา หรือแม้แต่ อายเมอริค ลาป๊อร์กต์ ได้เลย
สถิติระบุว่า จากทั้งหมด 11 นัด ที่อดีตดาวเตะยูเวนตุสลงเล่นในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ ทีมปืนใหญ่ไม่ชนะถึง 7 นัด (แพ้ไป 4) เปอร์เซ็นต์ชนะมีเพียงแค่ 36%
แต่อีก 14 นัดที่เขาไม่ได้ลงสัมผัสเกม ทีมกลับชนะได้ถึง 9 นัด (เปอร์เซ็นต์ชนะ 64%) จึงน่าจะพอเป็นหลักฐานชัดเจนแล้วว่า ด้วยวัย 35 ปี เขาไม่ดีพอกับการลงเล่นเกมระดับพรีเมียร์ลีกให้ทีมที่ตั้งเป้าไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก เลย
น่าเห็นใจ อูไน เอเมรี่ ที่จำเป็นต้องเข็น ลิคท์สไตเนอร์ ลงตัวจริงในการเจอนักเตะพลิ้วๆ ของคู่แข่งหลายคนอย่างเกมนี้ เพราะ เอคตอร์ เบเยริน ยังต้องพักยาว ส่วน ไอน์สลี่ย์ ไมต์แลนด์-ไนล์ส ก็ยังไม่ฟิตสมบูรณ์
5. ทั้ง 2 ทีม จะอยู่อันดับไหนดี เมื่อจบซีซั่น?


การที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ขยับทำแต้มไล่จี้จ่าฝูงอย่าง ลิเวอร์พูล เหลือแค่ 2 แต้ม ก่อนทีมหงส์แดงบุกเยือน เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ในคืนวันจันทร์ ทำให้แฟนเรือใบสีฟ้าเริ่มคาดหวังถึงการทวงตำแหน่งจ่าฝูงคืนมาอีกครั้งได้อย่างเต็มตัว
เพราะหากทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่สามารถคว้า 3 แต้มกลับออกมาจากเกมเยือนทีมขุนค้อน แมนฯ ซิตี้ เตรียมแซงขึ้นแท่นจ่าฝูงแทนทันที ถ้าวันพุธนี้ บุกชนะ เอฟเวอร์ตัน ได้อีก
หากเป็นเช่นนั้น ความมั่นใจของทีมแชมป์เก่าที่จะป้องกันแชมป์ไว้อีกสมัยจะยิ่งมากขึ้นอีกเยอะ และจะทำให้ทีมหงส์แดงยิ่งกดดันมากขึ้นแน่ ในช่วงที่เหลือของซีซั่น
ทางด้าน อาร์เซน่อล ที่ร่วงลงมาอยู่อันดับ 6 ยังคงมีลุ้นกับการติดท็อปโฟร์ เพราะช่องว่างที่ตาม เชลซี ห่างแค่ 3 แต้ม ก็ยังถือว่าไม่มาก แต่ต้องยอมรับว่า ด้วยฟอร์มตอนนี้ และปัญหานักเตะบาดเจ็บรบกวนมากมาย ถือว่าทีมปืนใหญ่ต้องลุ้นหนักมาก ในการทำอันดับกลับไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกครั้ง
โปรแกรม 3 นัดข้างหน้า ทีมปืนใหญ่เจองานไม่ยาก (เยือน ฮัดเดอร์สฟิลด์ ต่อด้วยเล่นในบ้าน 2 เกมติดพบ เซาธ์แฮมป์ตัน และ บอร์นมัธ) ซึ่ง อูไน เอเมรี่ ห้ามทำ 3 คะแนนหล่นอีกแล้ว
เพราะทันทีที่เข้าเดือนมีนาคม อาร์เซน่อล จะต้องเจองานหนักอีกถึง 2 นัดติด โดยต้องบุกเยือน ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ และเปิดบ้านพบ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หากฟอร์มยังไม่กระเตื้อง และยังคงเล่นได้แย่ในการเจอทีมใหญ่ มีโอกาสสูงมากที่พวกเขาจะได้แค่ไปเล่น ยูโรปา ลีก อีกปี