5 เรื่องดีที่ได้เห็นจากทีมชาติไทย ในศึกฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์คัพ ครั้งที่ 46
แม้จะเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ ทีมชาติไทย ไม่สามารถป้องกันแชมป์ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์คัพ ได้เป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน หลังจากพ่ายให้กับทีมแกร่งอย่าง สโลวาเกีย ไป 2-3 ในนัดชิงชนะเลิศ แต่ถือเป็นความพ่ายแพ้ที่แฟนบอลประทับใจกันไปทั่วประเทศ
นี่คือ 5 สัญญาณดีๆ ที่เกิดขึ้นกับทีมชาติไทยในทัวร์นาเมนต์แห่งศักดิ์ศรีครั้งนี้ แม้จะได้เพียงตำแหน่งรองแชมป์ก็ตาม
1. ราเยวัชทำให้แฟนบอลเชื่อมั่นได้เต็มๆ
แม้จะได้เปรียบจากการเป็นเจ้าภาพ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทีมชาติไทย คือทีมที่ดูอ่อนชั้นที่สุดในบรรดา 4 ทีมที่เข้าร่วมศึก คิงส์คัพ ครั้งนี้
แต่ทีมช้างศึกภายใต้การคุมทีมของ มิโลวาน ราเยวัช สามารถต่อสู้กับคู่แข่งจากต่างทวีปอย่าง กาบอง และ สโลวาเกีย ได้แบบสูสีสุดๆ โดยทั้ง 2 เกมดังกล่าว ไทยเป็นฝ่ายหาโอกาสทำประตูได้มากกว่าด้วย
จุดที่น่าพูดถึงก็คือ นี่คือทัวร์นาเมนต์ที่จัดในช่วงเวลา “ฟีฟ่าเดย์” โดยใช้เวลาเก็บตัวฝึกซ้อมตามมาตรฐานสากล ไม่ใช่การขอเลื่อนโปรแกรมไทยลีกออกไป เพื่อขอเวลาเก็บตัวมากเป็นพิเศษแบบแต่ก่อน
ราเยวัช นำทีมรวมตัวกันหลังจบเกมลีกนัดสุดท้ายก่อนเบรกทีมชาติไม่ถึง 4 วัน แต่เขาแสดงให้เห็นว่า เขามี 11 ผู้เล่นที่ดีที่สุดในใจไว้แต่แรก จากประสบการณ์คุมทีมชุดนี้มาเกือบปี และติดตามดูฟอร์มนักเตะของทีมชาติตลอด
11 คนแรกชุดสู้กับ กาบอง และ สโลวาเกีย เหมือนกันเป๊ะๆ ทั้ง 2 เกม และจะว่าไปแล้ว ทีมชุดนี้น่าจะเป็น 11 ผู้เล่นชุดที่ดีที่สุด ณ เวลานี้ด้วย หากไม่นับ ธนบูรณ์ เกษารัตน์ หรือ อดิศร พรหมรักษ์ ที่มีอาการบาดเจ็บ
แม้นักเตะอย่าง มงคล ทศไกร หรือ พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา ที่เป็นตัวหลักของ ราเยวัช มาตลอด อาจทำผลงานไม่ดีนัก แต่ในแง่ของแท็กติก รูปทรงการเล่น สังเกตว่าไทยประสานงานกันเป็นทีมได้แบบมีพัฒนาการมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ความผิดพลาดในเกมรับ มีให้เห็นเพียงแค่ในส่วนของ ฟิลิป โรลเลอร์ แบ็กขวาลูกครึ่งเยอรมันจาก ราชบุรี มิตรผล เอฟซี แต่นั่นเกิดขึ้นในการดวลกับ สโลวาเกีย ที่มีเทคนิค และร่างกายแข็งแกร่งกว่ามาก ก่อนที่ครึ่งหลังของเกมนัดชิง ฟิลิป จะเล่นได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
และต้องไม่ลืมด้วยว่า ถ้าหาก อดิศร ไม่มีอาการบาดเจ็บ ตำแหน่งแบ็กขวาก็น่าจะเป็นของดาวเตะจาก เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด แน่นอนด้วย
การมีรูปทรงการเล่นที่แน่นอน รู้ว่าใครคือตัวหลักในทีม และต่อสู้กับทีมที่แกร่งกว่าได้สูสี ถือเป็นบทพิสูจน์ชัดเจนแล้วว่า ราเยวัช คือคนที่เหมาะจะนำทีมชาติไทยป้องกันแชมป์ ซูซูกิ คัพ ปลายปีนี้ รวมถึงลุ้นทำผลงานที่ดีใน เอเชียน คัพ ต้นปีหน้า
2. ผลงานของ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์
กองกลางวัย 24 ปีจาก บางกอกกล๊าส เอฟซี เจ้าของค่าตัว 30 ล้านบาท คือหนึ่งในผู้เล่นที่โชว์ฟอร์มได้ใจแฟนบอลไทยมากที่สุดในศึก คิงส์คัพ ครั้งนี้
ถ้าจำกันได้ดี ศึก คิงส์คัพ 2017 เขาก็เป็นกำลังสำคัญพาทีมคว้าแชมป์แรกในยุคของ มิโลวาน ราเยวัช โดยเจ้าตัวทำได้ 1 ประตูนัดที่พบกับ เกาหลีเหนือ ด้วย
นับตั้งแต่กุนซือชาวเซอร์เบียเข้ามาคุมทีม มีเพียงนัดเดียวเท่านั้นที่ “เจ้านิว” ไม่ได้ลงเล่น คือเกมคัดบอลโลกนัดบุกแพ้ ออสเตรเลีย 2-1 เพราะติดโทษแบนจากการโดนไล่ออกในเกมแพ้ อิรัก คาบ้าน 1-2
ผลงาน 2 นัดที่ผ่านมาทั้งในเกมกับ กาบอง และ สโลวาเกีย คงประจักษ์กับสายตาแฟนบอลทุกคนแล้ว ว่าเจ้าตัวสำคัญกับแผงมิดฟิลด์ทีมช้างศึกขนาดไหน เพราะเขาแทบจะเป็นคนเดียวเลยก็ว่าได้ ที่วิ่งพล่านทั้งตัดเกมและช่วยพาบอลขึ้นหน้าได้ตลอด 90 นาที ชนิดที่ความฟิตไม่มีตก
3. “เมสซี่เจ” กลับมาเก่งขึ้นชัดเจน หลังโกอินเตอร์
ดูเหมือนนับตั้งแต่ไปค้าแข้งกับ คอนซาโดเล่ ซัปโปโร ที่ญี่ปุ่นเมื่อกลางปีก่อน ชนาธิป สรงกระสินธ์ จะยิ่งยกระดับฝีเท้าก้าวขึ้นจากเดิมไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเอาตัวรอดจากการถูกเข้าปะทะ หรือล้อมบีบพื้นที่แบบประชิดตัว
แฟนบอลคงเห็นกันทั่วประเทศว่านักเตะ สโลวาเกีย ต้องใช้วิธี “ดึงเสื้อ” หรือไม่ก็ทำฟาวล์เพื่อหยุดการทำเกมของ “เมสซี่เจ” ซึ่งลูกฟรีคิกที่ไทยได้ในครึ่งหลังของเกมเมื่อคืนนี้ นำมาสู่ประตูปลุกความหวังจาก พรรษา เหมวิบูลย์
นอกจากนั้นแล้ว กองกลางร่างเล็กยังแสดงให้เห็นถึงทักษะและเซนส์บอลที่ก้าวนำเพื่อนร่วมชาติไปอีกขั้นอย่างชัดเจน เจ้าตัวสามารถเล่นบอลในจังหวะที่เร็วขึ้นกว่าเดิม และผ่านบอลได้แบบทะลุทะลวงมากยิ่งขึ้นด้วย
ขณะที่นักเตะคนอื่นๆ ที่กำลังอยู่ในช่วงปรับตัวกับต้นสังกัดใหม่ในต่างแดน ทั้ง ธีราทร บุญมาทัน, ธีรศิลป์ แดงดา รวมถึง กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ก็น่าจะกลับมาช่วยทีมชาติได้แบบฝีเท้าสูงขึ้นในโอกาสหน้า ถ้าหากเรียนรู้ระดับฟุตบอลที่สูงขึ้นจากในไทยได้มากขึ้นกว่าตอนนี้
4. คู่แข่งที่มาตรฐานสูงอีกครั้งในศึกคิงส์คัพ
ศึก คิงส์คัพ ครั้งนี้ ถือว่าเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 20 ปีที่มีคู่แข่งมาจาก 3 ทวีป โดยที่ทุกทีมใช้ “ทีมชาติชุดใหญ่” เข้าแข่งขัน ไม่ใช่ทีมชุดเล็กหรือไปเอานักเตะโนเนมที่ค้าแข้งในลีกประเทศตัวเองรวมทีมมาแข่งแบบเป็นพิธี
แม้โปรแกรมแข่งอย่างเป็นทางการ ไทยจะพบแต่ทีมจากเอเชียด้วยกัน แต่ก็มีเพียงการอุ่นเครื่อง หรือศึก คิงส์คัพ แบบนี้เท่านั้น ที่เราจะได้พบกับทีมจากต่างทวีปที่เก่งกว่าเราอย่างแท้จริง
ทีมชาติญี่ปุ่นหรือเกาหลีใต้ ที่มองไปไกลกว่าระดับเอเชีย มักใช้ช่วงเบรกทีมชาติ อุ่นเครื่องกับทีมจากทวีปอื่นเพื่อพัฒนารูปแบบการเล่นเสมอ นั่นทำให้พวกเขาคือทีมที่ผูกขาดโควตาไปเล่นฟุตบอลโลกอย่างต่อเนื่อง
แม้ช่วงเบรก “ฟีฟ่าเดย์” ครั้งนี้ ไทยอาจได้คะแนนแรงกิ้งเพิ่มไม่มากนัก จากการดวลจุดโทษชนะ กาบอง (เกมแพ้ สโลวาเกีย ไม่ได้คะแนน) แต่ในแง่ของประสบการณ์ถือว่าได้มาคุ้มค่ายิ่งกว่าการเอาชนะทีมอ่อนชั้นแน่นอน
5. บอลไทยมีคนดูเยอะอีกครั้ง!!
เกมรอบรองชนะเลิศกับ กาบอง มีผู้ชมเข้าไปให้กำลังใจทีมชาติไทยถึง ราชมังคลากีฬาสถาน มากถึง 25,781 คน ทั้งที่เป็นวันพฤหัสบดี และมีละครที่คนติดกันทั้งบ้านทั้งเมืองอย่าง “บุพเพสันนิวาส” ออนแอร์ในช่วงที่ทีมช้างศึกแข่ง
แม้จะมีคนบางส่วนคิดว่า เพราะวันที่ 22 มีนาคม คือวันที่ไอดอลเกิร์ลกรุ๊ปขวัญใจมหาชนอย่าง BNK48 ไปแสดงโชว์สดๆ จึงทำให้มีคนเข้าสนามเยอะ
ทว่าพอถึงเกมนัดชิงชนะเลิศกับ สโลวาเกีย ที่ BNK48 ไม่ได้แสดงสด (แค่ส่งตัวแทน 6 คนไปนั่งเชียร์เฉยๆ) จำนวนผู้ชมยิ่งพุ่งสูงขึ้นเกือบๆ 20,000 คน
สถิติผู้ชมมากถึง 45,425 คน ถือว่าสูงที่สุดนับตั้งแต่ที่ มิโลวาน ราเยวัช เข้ามาคุมทีม และเป็นตัวเลขระดับเดียวกับช่วงที่บอลไทยบูมสุดๆ ในปี 2015 ที่ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เป็นกุนซือเลยทีเดียว
เชื่อว่าความประทับใจหลายๆ อย่างต่อทีมช้างศึกในศึกคิงส์คัพครั้งนี้ จะเป็นจุดที่ทำให้แฟนบอลกลับมาศรัทธากับทีมชาติอีกครั้งในช่วงต่อจากนี้
ทีมชาติไทยจะยังมีอะไรดีๆ มาให้เห็นอีกแน่ ผมมั่นใจ…