5 จุดที่ต้องพูดถึงจากเกมบิ๊กแมตช์ไทยลีก ที่ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด เปิดบ้านแพ้ การท่าเรือ เอฟซี 0-2
จบลงไปแล้วสำหรับเกมบิ๊กแมตช์ไทยลีก หัวค่ำวันเสาร์ เมื่อ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด เปิดบ้านแพ้ให้กับ การท่าเรือ เอฟซี ไป 0-2
จากการที่เป็นเกมแห่งศักดิ์ศรีที่แฟนบอลทั่วประเทศให้ความสนใจ เมื่อผลการแข่งขันเป็นทีมกิเลนผยองแพ้คาบ้าน ทั้งที่ทีมเยือนไม่มีแฟนบอลไปเชียร์ที่สนาม ถือว่ามีประเด็นที่ถูกพูดถึงมากมายเหลือเกินสำหรับนัดนี้
และนี่คือ 5 ประเด็นสำคัญจากเกมที่ เอสซีจี สเตเดี้ยม นัดล่าสุด ที่เชื่อว่าน่าจะมีการพูดถึงอีกหลายครั้งในฤดูกาลนี้
1. กิเลนชุดนี้ อาจอ่อนที่สุดในรอบหลายปี
การปล่อยตัว ธีรศิลป์ แดงดา, ธีราทร บุญมาทัน และ กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ออกไปค้าแข้งต่างประเทศ อาจเป็นประโยชน์สำหรับการยกระดับทีมชาติไทย
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าระดับขุมกำลังของทีมกิเลนผยองตกลงไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด และต้องไม่ลืมเด็ดขาดว่าทุกชื่อที่กล่าวมาคือนักเตะชั้นยอดของประเทศ ยังไม่รวม ชนาธิป สรงกระสินธ์ ที่ไปค้าแข้งที่ญี่ปุ่นก่อนแล้วตั้งแต่ปี 2017
หลังจากทีมไม่มี กวินทร์ ก็ไม่มีใครที่เฝ้าประตูได้ในระดับทำให้บรรดาแนวรับอุ่นใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์อีก
ชาช่า ที่ทีมดึงเข้ามาเสริมแทนก่อนเปิดฤดูกาล อาจมีชื่อชั้นเป็นแข้งเกรดเอ แต่ก็ทำให้ ธชตวัน ศรีปาน จำเป็นต้องตัดนักเตะโควตาต่างชาติออกไป 1 คน
และสุดท้ายผู้โชคร้ายก็คือ อี โฮ มิดฟิลด์ตัวเก๋าชาวเกาหลีใต้ ส่งผลให้แดนกลางที่เหลือแต่นักเตะไทยล้วนๆ ลดคุณภาพลงจากชุดเดิม
เมื่อบวกกับการโชคร้ายเจ็บยาวของ อดิศักดิิ์ ไกรษร ทำให้ทีมต้องใช้บริการกองหน้าที่ฟอร์มไม่แน่นอนอย่าง สิโรจน์ ฉัตรทอง และ เจนรบ สำเภาดี สลับกันเล่น
โดยตัวของ ชาช่า เองก็ยังจูนกับเพื่อนร่วมทีมใหม่ได้ค่อนข้างช้าด้วย เท่ากับว่าทีมชุดลุย ไทยลีก 2018 เลกแรก มีนักเตะที่ฝากความหวังจริงๆ จังๆ ได้น้อยมาก
ทุกอย่างฟ้องชัดในเกมนี้ เมื่อแดนกลางของ เมืองทองฯ โดนบีบให้เล่นไม่ออก ขณะที่ เจนรบ สำเภาดี ที่เกมแรกเป็นแฮตทริกฮีโร่ ก็ไม่ได้แผลงฤทธิ์ในเกมนี้ เมื่อเจอแท็กติกถอยลงไปรับต่ำของทีมเยือน ไม่ให้มีพื้นที่สอดเข้าไปลุ้นยิง
2. “เซอร์เด็จ” เหนือกว่า “โค้ชแบน”
จเด็จ มีลาภ คุมทีมไม่แพ้ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ที่มี ธชตวัน ศรีปาน เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนมานาน 4 นัดติดต่อกัน เข้าไปแล้ว
สถิติการคุมทีมของ “เซอร์เด็จ” ดวลกึ๋นกับ “โค้ชแบน” นับรวมเมื่อคืนนี้ เจอกันทั้งหมด 6 ครั้ง กุนซือร่างท้วมสามารถนำทีมชนะไปถึึง 3 ครั้ง เสมอ 2 หน และแพ้เพียงครั้งเดียว
เฮดโค้ชทีมสิงห์เจ้าท่า ให้สัมภาษณ์ตั้งแต่ช่วงกลางสัปดาห์แล้วว่า เขามั่นใจมากว่าทีมจะเก็บแต้มจาก เอสซีจี สเตเดี้ยม ได้ เพราะทีมตัวเองแข็งแกร่งขึ้น ส่วนคู่แข่งแผ่วลง และสุดท้ายก็ทำได้จริงๆ
แท็กติกรับแล้วโต้ใช้ได้ผลชะงัดตลอดทั้ง 90 นาที ทุกอย่างเข้าทางเมื่อได้ประตูนำตั้งแต่ 6 นาทีแรก แถมครึ่งหลังทีมของ “โค้ชแบน” ไปเล่นเข้าทางหมากของ จเด็จ ด้วยการเปิดหน้าแลกจนแนวรับมีพื้นที่ให้ทีมเยือนโต้กลับ
และสุดท้ายครึ่งหลัง ทีมก็มาโดนตอกฝาโลงจริงๆ จากประตูของ เซร์คิโอ ซัวเรซ
3. สิงห์เจ้าท่าเฮได้ แม้ไร้เสียงเชียร์
ก่อนเกมนัดนี้ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ถูกมองว่าได้เปรียบอย่างมาก จากการที่ได้เล่นในบ้าน โดยมีคนเข้าไปเชียร์ในสนามเพียบ ขณะที่ การท่าเรือ เอฟซี บุกมาเยือนโดยไร้แฟนบอลของตัวเอง
แต่กลายเป็นว่า ทีมสิงห์เจ้าท่ากลับทำสถิติคว้า 3 แต้มเต็มจากบ้านทีมกิเลนผยองเป็นฤดูกาลที่ 2 ติดต่อกัน ซึ่งปีที่แล้วพวกเขาก็ไม่แพ้คู่ปรับตลอดกาลทั้งไปและกลับ จากการเล่นในสนามไร้แฟนบอลด้วย
น่าสังเกตว่า การไม่ต้องพะวงว่าแฟนบอลทีมตัวเองจะได้รับอันตรายอะไร หรือจะไปก่อเหตุอะไรใน “คู่เดือด” คู่นี้ จะช่วยให้ ท่าเรือ ทำผลงานได้ดีขึ้นเยอะในการเจอ เมืองทองฯ หลังจากการเจอกันหนก่อนๆ หน้านั้น มักเป็นรองอยู่เสมอ
แต่คำถามก็คือว่า เมื่อไรกัน? ที่การแข่งขันระหว่าง ท่าเรือ และ เมืองทอง จะเตะกันแบบที่แฟนบอลเข้าไปชมกันได้ทั้ง 2 ฝั่ง และไม่มีปัญหารุนแรงเกิดขึ้นเลย
4. “เควิน” เจ๋งกว่า “เจ้าบาส”
2 ประตูที่ เมืองทองฯ เสียในเกมนี้ เกิดจากความผิดพลาดของ พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา ทั้ง 2 ประตู โดยลูกแรก “เจ้าบาส” เป็นคนโหม่งสกัดลูกเปิดฟรีคิกของ ปกรณ์ เปรมภักดิ์ ผิดเหลี่ยมเข้าประตูตัวเอง ทำให้ต้นสังกัดต้องโดนนำแต่หัววัน
จากนั้นครึ่งหลัง อดีตดาวเตะเทโร ก็ยืนตำแหน่งไม่ดี ปล่อยให้ นิติพงษ์ เสลานนท์ แบ็กขวาของทีมเยือนหลุดขึ้นทางริมเส้น ก่อนล็อกหลบเขาซะจนหัวทิ่ม แล้วจ่ายให้ เซร์คิโอ ซัวเรซ ยิงประตูที่สอง
เมื่อเทียบกับฟอร์มการเล่นของ เควิน ดีรมรัมย์ แบ็กซ้ายค่าตัวแพง ที่ การท่าเรือ เอฟซี ปาดหน้าทีมกิเลนผยอง เซ็นสัญญาเข้าสู่ทีมได้ในวันปิดตลาดนักเตะ ถือว่าดาวเตะลูกครึ่งสวีเดนเหนือกว่าลิบลับ
เควิน คุมตำแหน่งได้ดี จนทำให้ ทริสตอง โด เล่นไม่ออก แล้วก็เติมขึ้นไปช่วยเกมรุกให้สิงห์เจ้าท่าได้อันตรายหลายต่อหลายครั้ง
หลังจาก ธีราทร บุญมาทัน ย้ายไปค้าแข้งที่ญี่ปุ่น บางที เควิน ดีรมรัมย์ นี่แหละ ที่อาจเป็นแบ็กซ้ายเบอร์หนึ่งของไทยลีกแทน และทีมกิเลนผยองคงเสียดายไม่หาย ที่พลาดได้ตัว จนต้องเหลือ พีระพัฒน์ เป็นตัวเลือกแบ็กซ้ายธรรมชาติเพียงคนเดียวตลอดเลกแรก
5. ท่าเรือ พร้อมลุ้นแชมป์แล้วหรือยัง?
นับตั้งแต่ จเด็จ มีลาภ กลับมารับหน้าที่หัวหน้าผู้ฝึกสอนอีกครั้งเมื่อช่วงปลายเดือนกันยายนปีที่แล้ว การท่าเรือ เอฟซี ก็ไม่แพ้ในลีกมา 7 นัดติดต่อกัน โดยชนะรวดตลอด 5 เกมหลังสุด
นอกเหนือจากการออกสตาร์ทฤดูกาลด้วยชัยชนะ 2 นัดรวดเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปีแล้ว จุดที่ต้องพูดถึงก็คือ สิงห์เจ้าท่าชุดนี้ แข็งแกร่งลงตัวทุกตำแหน่ง
วรวุฒิ ศรีสุภา ที่เซฟจังหวะสำคัญหลายครั้งในครึ่งแรก จนได้ตำแหน่ง แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ของเกมนี้ รักษาคลีนชีตได้ 2 เกมติด และที่ได้รับคำชมไปทั่วก็คือฟูลแบ็ก 2 ข้างอย่าง นิติพงษ์ เสลานนท์ และ เควิน ดีรมรัมย์ ซึ่งเล่นดีเหลือเกิน
ดาบิด โรเชล่า กับ ทศพล ลาเทศ ก็จับคู่เซนเตอร์กันอย่างเหนียวแน่น แม้ว่า ทศพล จะบาดเจ็บจนเล่นต่อไม่ไหวตั้งแต่ครึ่งแรก แต่ ยูเซฟ เอเลียส ดอเลาะ ก็ยังลงไปทำหน้าที่แทนได้เป็นอย่างดี
แดนกลางที่ได้ คิม ซอง ฮวาน ลงตัวจริงเป็นนัดแรก ดูสมดุลมากขึ้น ขณะที่ ศิวกร จักขุประสาท ก็เล่นได้ดีอีกนัด เช่นเดียวกับ เซร์คิโอ ซัวเรซ ที่สอดขึ้นไปทำประตูได้ 2 นัดซ้อน
แนวรุกที่มี ดราแกน บอสโควิช เป็นแกนนำ ขนาบข้างด้วย ปกรณ์ เปรมภักดิ์ และ นูรูล ศรียานเก็ม ถือว่ามีทีเด็ดหลากหลาย แถมบนม้านั่งสำรองยังมี บดินทร์ ผาลา เป็นอาวุธลับอีก
ถ้าจะบอกว่า ท่าเรือ มีขุมกำลังที่ดีกว่า เมืองทอง ในปี 2018 บางทีอาจไม่ใช่คำพูดที่เกินเลยด้วยซ้ำ
แต่สิงห์เจ้าท่าต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยการเก็บชัยชนะอย่างต่อเนื่อง รักษาตำแหน่งจ่าฝูงให้นานที่สุดเท่านั้น จึงจะคู่ควรกับคำว่า “ลุ้นแชมป์” อย่างแท้จริง
