ถือเป็นผลการแข่งขันที่สะเทือนวงการสุดๆ เลยทีเดียว สำหรับบิ๊กแมตช์พรีเมียร์ลีกเมื่อคืนวันอาทิตย์ หลังจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ระเบิดฟอร์มเทพ เปิดบ้านถล่ม เชลซี ไปแบบยับเยินถึง 6-0 ทำให้ทีมเรือใบสีฟ้ากลับไปนั่งจ่าฝูงอีกครั้ง จากการมีผลต่างประตูได้-เสียเหนือกว่า ลิเวอร์พูล ถึง 10 ลูกด้วยกัน
โดยเมื่อคืนที่ผ่านมา แม้จะมีจังหวะพลาดจ่อๆ แบบไม่น่าเชื่อช่วงต้นเกม แต่ก็แก้ตัวได้แบบหล่อๆ เมื่อยิงไกลสุดงามพาทีมนำห่าง 2-0 ชนิดต้องให้ 10 คะแนนเต็ม ก่อนจะบวกเพิ่มอีก 2 ประตู พาทีมคว้าชัยสวยหรูได้สำเร็จ
ดาวยิงทีมชาติอาร์เจนตินา กดประตูให้ทีมเรือใบสีฟ้าไปแล้วถึง 10 ลูก จากการลงสนาม 9 นัดรวมทุกรายการ นับตั้งแต่ขึ้นปี 2019
ซึ่งแฮตทริกที่ยิงใส่ เชลซี นัดล่าสุด ทำให้เขาขึ้นไปนำดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ร่วมกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ด้วยผลงานยิงไป 17 ประตูเท่ากันเรียบร้อยแล้ว
แต่ยิ่งไปกว่านั้น การที่ “เอล กุน” สามารถทำแฮตทริกได้เป็นครั้งที่ 3 ในฤดูกาลนี้ ทำให้เจ้าตัวสร้างสถิติ กลายเป็นนักเตะที่ทำแฮตทริกมากที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกร่วมกับ อลัน เชียเรอร์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยทำได้ 11 ครั้ง ด้วยกัน
2. นี่มัน เชลซี หรือทีม อบต.???


หลังจากออกไปโดน บอร์นมัธ ถล่ม 4-0 เมื่อปลายเดือนมกราคม ซึ่งถือเป็นการแพ้ด้วยสกอร์ห่าง 4 ลูกเป็นครั้งแรกในรอบ 23 ปี คราวนี้ เชลซี อาการหนักยิ่งกว่าเดิม เพราะเล่นแพ้ยับเยินที่สุดในประวัติศาสตร์การเล่นพรีเมียร์ลีกมันซะเลย
ครั้งสุดท้ายที่ทีมสิงโตน้ำเงินครามแพ้ขาดครึ่งโหล ต้องย้อนไปไกลถึงสมัยที่ลีกสูงสุดอังกฤษ ยังเป็นดิวิชั่น 1 เดิมเลยทีเดียว คือเกมที่โดน น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ถล่ม 7-0 เมื่อปี 1991
หากใครได้ดูเกมเมื่อคืนนี้ จะเห็นได้ว่านอกจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมแล้ว อีกส่วนที่ทำให้ เชลซี แพ้เละเทะขนาดนี้ คือการเล่นผิดพลาดกันเองอย่างกับทีมสมัครเล่น
ประตูขึ้นนำ 1-0 เกิดจากความเหม่อลอยของ มาร์กอส อลอนโซ่ ที่ไม่ระวังตำแหน่ง จนเปิดโอกาสให้ เควิน เดอ บรอยน์ เล่นฟรีคิกจ่ายเร็วให้ แบร์นาร์โด้ ซิลวา หลุดขึ้นไปเปิดบอลทางขวา ก่อนที่จะนำมาสู่ประตูของ ราฮีม สเตอร์ลิง
เช่นเดียวกับประตู 3-0 ก็เสียแบบไม่น่าเสีย เพราะจู่ๆ รอสส์ บาร์คลี่ย์ ก็ดันโหม่งคืนหลัง แจกส้มหล่นให้ เซร์คิโอ อเกวโร่ หลุดเดี่ยวไปยิงโล่งๆ ซะอย่างนั้น
ยังไม่นับรวมกับการเล่นแบบไม่มีหือมีอือในครึ่งหลัง ที่ เชลซี ไม่แสดงให้เห็นเลยว่าต้องการกลับมาสู่เกมบ้าง แต่กลับปล่อยให้ แมนฯ ซิตี้ ต่อบอลอย่างสบายใจ และยังเล่นด้วยแนวทางเดิมๆ จนโดนเพิ่มไปอีก 2 ประตู
3. เรือใบสีฟ้า พร้อมล่าทุกแชมป์!!


การที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สามารถทวงตำแหน่งจ่าฝูงคืนจาก ลิเวอร์พูล ได้สำเร็จ ทำให้พวกเขาจะรั้งอันดับ 1 ของตารางต่อไปอีกอย่างน้อย 2 สัปดาห์
และทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า อาจจะครองจ่าฝูงนานกว่านั้นด้วย ถ้าหากในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ลิเวอร์พูล ไม่สามารถเก็บแต้มในเกมเยือน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้
ชัยชนะ 6-0 เหนือ เชลซี ทำให้ แมนฯ ซิตี้ มีความได้เปรียบเรื่องผลต่างประตูได้-เสีย เหนือกว่าทีมหงส์แดงมากถึง 10 ประตู และนั่นคือความได้เปรียบ หากเรือใบสีฟ้าจบฤโูกาลด้วยการมีแต้มเท่ากับทีมหงส์แดง
สำหรับรายการอื่นๆ แมนฯ ซิตี้ ลุ้นคว้าแชมป์ประเดิมปีนี้ ด้วยถ้วย คาราบาว คัพ ซึ่งจะได้พบกับ เชลซี อีกครั้ง ในเกมรอบชิง วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ซึ่งจากฟอร์มที่เห็น ใครๆ ก็คงฟันธงว่า แมนฯ ซิตี้ คงย้ำแค้นสิงห์บลูส์ได้แน่ๆ
ขณะที่เส้นทางในรายการอื่นๆ ก็ถือว่าสดใสสุดๆ เพราะเจอกับทีมอ่อนชั้นกว่าทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเกม เอฟเอ คัพ ที่รอบ 5 จะพบกับทีมจาก ลีก ทู อย่าง นิว พอร์ท เคาน์ตี้
ส่วนใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีม ก็ไม่น่ามีปัญหา เพราะคู่แข่งคือทีมผลงานแย่อย่าง ชาลเก้ 04 ซึ่งกลายเป็นทีมหนีตกชั้นของบุนเดสลีกาปีนี้ไปซะแล้ว
4. “ซาร์รี่” ไม่น่ารอด


ถึงตรงนี้ คงต้องบอกว่า เมาริซิโอ ซาร์รี่ มีโอกาสโดนปลดออกจากตำแหน่งกุนซือของ เชลซี มากกว่าจะได้ทำทีมต่อในฤดูกาลหน้าซะแล้ว
นอกจากความพ่ายแพ้แบบต้องหาปี๊บคลุมหัว จุดที่แฟนสิงห์บลูส์รับไม่ได้กับ ซาร์รี่ ยิ่งกว่า ก็คือการไม่เคยปรับเปลี่ยนแท็กติกเลย โดยยึด 4-3-3 ตลอดชาติ
ตอนทีมโดนนำ ซาร์รี่ ไม่เคยปรับแผนโดยส่งกองหน้าอาชีพลงพร้อมกัน 2 คนเลยสักครั้ง และเราก็ไม่เคยเห็นว่า เขาจะกล้าเปลี่ยนระบบจากหลัง 4 คนเป็นหลัง 3 คนตอนไหน
การเปลี่ยนตัว มีแต่การ “เปลี่ยนตำแหน่งต่อตำแหน่ง” ซึ่งหนึ่งในนั้น ใครๆ ก็เดาออกว่า ต้องมีการถอดกองกลางฝั่งซ้ายออก โดยสลับใช้งานกันระหว่าง รอสส์ บาร์คลี่ย์ กับ มาเตโอ โควาซิช
ซึ่งตัวสำรองคนแรก ที่ได้ลงเล่นในครึ่งหลังของเกมกับ แมนฯ ซิตี้ ก็คือ โควาซิช ที่ลงมาแทน บาร์คลี่ย์ จริงๆ!!!


แท็กติก 4-3-3 ของ ซาร์รี่ เน้นการตั้งเกมจากแดนกลางโดยเริ่มที่ จอร์จินโญ่ ที่รับบทบาทตัวเชื่อมเกมจากแดนหลัง แล้วส่งต่อสั้นๆ ให้เพื่อนรอบๆ ทำเกมขึ้นไปเอง ซึ่งแฟนบอลเองยังรู้ นับประสาอะไรกับทีมคู่แข่งว่าจะไม่รู้
แทบทุกทีมที่เจอกับสิงห์บลูส์ ต่างใช้วิธีบีบสูงเข้าใส่ จอร์จินโญ่ ไม่ให้เชื่อมเกมได้ถนัด ซึ่งเกมกับเรือใบสีฟ้านัดล่าสุด อดีตมิดฟิลด์ของ นาโปลี กลายเป็นจุดอ่อนอีกนัด เมื่อจ่ายบอลผิดพลาดบ่อยครั้ง และทำให้ เชลซี เซตเกมขึ้นหน้าไม่ได้เลย
ยิ่งไปกว่านั้น การที่กุนซือชาวอิตาเลียนยังยึดมั่นกับการให้ จอร์จินโญ่ ยืนต่ำสุดในแผงมิดฟิลด์ ก็ทำให้ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ เสียโอกาสลงเล่นตำแหน่งกองกลางตัวถัดเกมที่ถนัดที่สุดด้วย
เราเห็นได้ชัดเจนแล้วว่า ซาร์รี่ หมดไอเดียในการปรับแผน, ทำให้ เชลซี ผลงานแย่ลงทุกวัน และก็ไม่มีปัญญาในการกระตุ้นลูกทีมให้ฮึดสู้ ตอนนี้จึงน่าจะเหลือแค่รอเวลาเท่านั้น ว่าเมื่อไรที่สโมสรจะปลดเขาออกอย่างเป็นทางการ
5. ผีแดง แซงสิงห์หน้าตาเฉย!!


ย้อนไปเมื่อช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน เชลซี ยังรั้งอันดับ 3 ของตาราง ยังไม่แพ้ใครใน 12 นัดแรก และตามจ่าฝูงเพียงแค่ 4 แต้ม
ส่วน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ณ เวลานั้น ผลงานกระท่อนกระแท่นภายใต้การคุมทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ จนแทบไม่มีโอกาสที่จะฝันถึงการทำอันดับติดท็อปโฟร์ได้เลย
แต่ตัดภาพมาที่ตอนนี้ เมาริซิโอ ซาร์รี่ พาเชลซีแพ้ในลีกไปแล้วถึง 6 นัด ถือว่าแพ้มากกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ที่พ่ายแค่ 5 เกมเรียบร้อยแล้ว เพราะนับตั้งแต่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ มาเป็นกุนซือ ผีแดงยังแพ้ใครไม่เป็นเลย ชนะไปถึง 10 นัด หลุดเสมอแค่นัดเดียว
ด้วยผลงานที่สลับขั้วกัน กลายเป็นตอนนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด ทิ้งสถานะอันดับ 6 ที่เคยแช่นิ่งอยู่หลายเดือน ขึ้นมารั้งอันดับ 4 แบบหล่อๆ แทน และยังมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าน่าจะผ่าน เปแอสเช เพื่อเข้ารอบลึกๆ ใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ด้วย
แต่ทางฝั่ง เชลซีี กลายเป็นว่าร่วงลงไปอยู่ที่ 6 ซะงั้น และน่าจะต้องไปหวังลุ้นแชมป์กับถ้วย ยูโรปา ลีก แทนซะแล้ว!!