อังกฤษชิงกันเอง!! “โอบา” แฮตทริก ปืนบุกฝัง 4-2 “เกปา” เซฟ 2 โทษ สิงห์ดวลเป้าเฮ

อังกฤษชิงกันเอง!!
อังกฤษชิงกันเอง!! "โอบา" แฮตทริก ปืนบุกฝัง 4-2 "เกปา" เซฟ 2 โทษ สิงห์ดวลเป้าเฮ

อาร์เซน่อล และ เชลซี ผ่านเข้าไปพบกันในรอบชิงชนะเลิศ ยูโรปา ลีก

ยูโรปา ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดที่ 2

เชลซี 1-1 ไอน์ทรัคท์ แฟร้งค์เฟิร์ต
(รวมผล 2 นัด เสมอกัน 2-2)

ผลการดวลจุดโทษ : เชลซี ชนะ 4-3

สนาม : สแตมฟอร์ด บริดจ์ (ลอนดอน, อังกฤษ)

จากการที่เกมเลกแรก เสมอกันมา 1-1 ทำให้นัดนี้ เชลซี ขอแค่ไม่เสียประตูก็จะเข้ารอบชิงทันที ส่วน แฟร้งค์เฟิร์ต จำเป็นต้องชนะ หรือไม่ก็เสมอด้วยสกอร์ 2-2 ขึ้นไปเท่านั้น ถึงจะพลิกสถานการณ์ได้

นาทีที่ 14 แฟร้งค์เฟิร์ต เกือบบุกนำก่อน จากลูกวอลเลย์ติดไซด์ก้อยของ แดนนี่ ดา คอสต้า บอลเกือบจะเสียบใต้คาน แต่ว่า เกปา อาร์รีซาบาลาก้า บินปัดได้อย่างสุดยอด

นาที 23 เชลซี น่าจะได้ประตูบ้าง เอแด็น อาซาร์ จ่ายออกซ้ายให้ เอเมอร์สัน พัลมิเอรี่ เติมขึ้นมาเปิดไปที่เสาแรก ให้ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ตวัดยิงมุมแคบ แต่ไปโดน เควิน ทรัพพ์ ป้องกันไว้ได้

นาที 25 เจ้าบ้านเกือบได้ประตูอีกครั้ง จากลูกฟรีคิกทางฝั่งซ้าย ที่เปิดเข้าไปหน้าประตูให้ ดาวิด ลุยซ์ โหม่งสะบัดแล้วบอลเกือบจะถึง โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ได้ยิงโล่งๆ แต่ว่า มาโกโตะ ฮาเซเบะ เตะสกัดทิ้งออกมาได้ทันหวุดหวิด

แต่นาที 28 เชลซี นำ 1-0 ได้สำเร็จ เมื่อ เอแด็น อาซาร์ ม้วนหนี ดาวิด อับราฮัม ทางฝั่งซ้าย ก่อนบรรจงจ่ายถวายพานให้ รูเบน ลอฟตัส-ชีค หลุดเข้าเขตโทษฝั่งซ้าย แล้วแปเล่นทางส่งบอลผ่าน เควิน ทรัพพ์ เข้าเสาไกล

จบครึ่งแรก เชลซี จึงนำ ไอน์ทรัคท์​ แฟร้งค์เฟิร์ต 1-0

ครึ่งหลังเปิดฉากมาเพียง 4 นาที แฟร้งค์เฟิร์ต ตีเสมอเป็น 1-1 ได้สำเร็จ เมื่อ มิยัต กาซิโนวิช บรรจงไหลทะลุช่องให้ ลูก้า โยวิช หลุดเดี่ยวไปซัดตุงตาข่ายอย่างเฉียบขาด

จากนั้นทั้งสองทีมไม่สามารถทำประตูชัยกันได้ในช่วงเวลาปกติ ทำให้สกอร์รวม 2 นัดเท่ากันเป๊ะ ต้องต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที

เข้าสู่ช่วงต่อเวลาพิเศษ นาทีที่ 100 แฟร้งค์เฟิร์ต เกือบจะได้ประตูแซงนำ เมื่อ ฟิลิป คอสติช ครอสบอลจากซ้ายไปหน้าประตูให้ เซบาสเตียง อัลเล่ร์ ถีบบอลย้อนศรเกือบจะลอยเข้าเสาไกล แต่ว่า ดาวิด ลุยซ์ กลายเป็นฮีโร่ ตามลงไปเตะสกัดทิ้งออกมาก่อนที่บอลจะลอยข้ามเส้นประตูได้อย่างสุดยอด

นาที 111 เชลซี น่าจะได้ประตูนำ จากจังหวะหลุดเข้าไปยิงมุมแคบในกรอบเขตโทษฝั่งซ้ายของ เอเมอร์สัน พัลมิเอรี่ แต่ซัดไปติดเซฟของ เควิน ทรัพพ์

นาที 116 เชลซี สามารถส่งบอลเข้าก้นตาข่ายได้ จากลูกโหม่งจ่อๆ ของ เซซาร์​ อัซปิลิกวยต้า ในจังหวะขึ้นไปลุ้นทำประตูจากลูกเตะมุม แต่ว่าผู้ตัดสินเป่าว่า อัซปิลิกวยต้า ทำฟาวล์ก่อน ทำให้เจ้าถิ่นอดได้ประตูชัย

จบ 120 นาที สกอร์เสมอกัน 1-1 ทำให้ต้องดวลจุดโทษตัดสิน และเป็น เชลซี ยิงแม่นกว่า ชนะไป 4-3

 

ผลการดวลจุดโทษ (ไอน์ทรัคท์​ แฟร้งค์เฟิร์ต ยิงก่อน)

ไอน์ทรัคท์ แฟร้งค์เฟิร์ต คนที่ 1 : เซบาสเตียง อัลเล่ร์ ยิงเข้า

เชลซี คนที่ 1 : รอสส์ บาร์คลี่ย์ ยิงเข้า

ไอน์ทรัคท์​ แฟร้งค์เฟิร์ต คนที่ 2 : ลูก้า โยวิช ยิงเข้า

เชลซี คนที่ 2 (พลาด) : เซซาร์​ อัซปิลิกวยต้า ยิงติดเซฟ

ไอน์ทรัคท์​ แฟร้งค์เฟิร์ต คนที่ 3 : โจนาธาน เด กุซมัน ยิงเข้า

เชลซี คนที่ 3 : จอร์จินโญ่ ยิงเข้า

ไอน์ทรัคท์ แฟร้งค์เฟิร์ต คนที่ 4 (พลาด) : มาร์ติน ฮินเทอเร็กเกอร์ ยิงติดเซฟ

เชลซี คนที่ 4 : ดาวิด ลุยซ์ ยิงเข้า

ไอน์ทรัคท์ แฟร้งค์เฟิร์ต คนที่ 5 (พลาด) : กอนซาโล่ ปาเซียนเซีย ยิงติดเซฟ

เชลซี คนที่ 5 : เอแด็น อาซาร์ ยิงเข้า

 

รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนาม

เชลซี (4-3-3) : เกปา อาร์รีซาบาลาก้า – เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า (กัปตันทีม), อันเดรียส คริสเตนเซ่น (ดาวิเด้ ซัปปาคอสต้า น.74), ดาวิด ลุยซ์, เอเมอร์สัน พัลมิเอรี่ – รูเบน ลอฟตัส-ชีค (รอสส์ บาร์คลี่ย์ น.86), จอร์จินโญ่, มาเตโอ โควาซิช – วิลเลี่ยน (เปโดร โรดริเกซ น.62), โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ (กอนซาโล่ อิกวาอิน น.96), เอแด็น อาซาร์

ไอน์ทรัคท์ แฟร้งค์เฟิร์ต (3-1-4-2) : เควิน ทรัพพ์ – ดาวิด อับราฮัม (กัปตันทีม), มาร์ติน ฮินเทอเร็กเกอร์, ซิมง ฟาแล็ตต์ – มาโกโตะ ฮาเซเบะ – แดนนี่ ดา คอสต้า, เซบาสเตียน โรเด้อ (โจนาธาน เด กุซมัน น.70), มิยัต กาซิโนวิช (กอนซาโล่ ปาเซียนเซีย น.118), ฟิลิป คอสติช – อันเต้ เรบิช (เซบาสเตียง อัลเล่ร์ น.90+2), ลูก้า โยวิช

ผู้ตัดสิน : โอวิดิอู ฮาเตกาน (โรมาเนีย)

___________________________________

บาเลนเซีย 2-4 อาร์เซน่อล
(รวมผล 2 นัด อาร์เซน่อล ผ่านเข้าชิงด้วยสกอร์รวม 7-3)

สนาม : เอสตาดิโอ เมสตาย่า (บาเลนเซีย, สเปน)

อีกคู่ซึ่งเตะกันที่สเปน บาเลนเซีย ไม่มีทางเลือก ต้องชนะด้วยผลต่างอย่างน้อย 2 ประตูเท่านั้น ถึงจะพลิกสถานการณ์ได้ หลังเกมแรกบุกแพ้ที่บ้านของ อาร์เซน่อล มา 3-1 ส่วนทีมปืนใหญ่ขอแค่ไม่แพ้เกิน 1 ประตู ก็จะทะลุเข้าชิงทันที

นาทีที่ 11 บาเลนเซีย ขึ้นนำ 1-0 จากจังหวะโต้กลับหลังป้องกันลูกเตะมุมได้ ก่อนที่จังหวะสุดท้าย โรดริโก้ โมเรโน่ ตวัดบอลจากฝั่งซ้ายไปหน้าประตูให้ เควิน กาไมโร่ ชาร์จจ่อๆ ตุงตาข่าย

แต่ อาร์เซน่อล ตีเสมอเป็น 1-1 อย่างรวดเร็วในนาทีที่ 17 เมื่อสาดยาวขึ้นหน้าแล้ว อเล็กซองด์ ลากาแซ็ตต์ โดดขึ้นโหม่งชงให้ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง สปีดไปยิงไซด์ก้อยด้วยขวา ส่งบอลพุ่งเสียบเสาเข้าไป

นาที 35 บาเลนเซีย น่าจะได้ประตูขึ้นนำอีกครั้ง เมื่อมาได้ฟรีคิกระยะหวังผล แต่ ดานี่ ปาเรโฆ่ กองกลางกัปตันทีม ปั่นหลุดกรอบออกไปนิดเดียว

จบครึ่งแรก บาเลนเซีย เสมอ อาร์เซน่อล 1-1 ต้องลุ้นกันต่อในครึ่งหลัง

แต่ครึ่งหลังผ่านไปแค่ 5 นาที อาร์เซน่อล มาได้ประตูนำอีกครั้งเป็น 2-1 เมื่อ อเล็กซองด์ ลากาแซ็ตต์ รับบอลจาก ลูคัส ตอร์เรยร่า ก่อนใช้ความสามารถเฉพาะตัว บังบอลได้จากกองหลังเจ้าถิ่น แล้วหาเหลี่ยมพลิกยิงด้วยขวา ส่งบอลพุ่งผ่านมือ เนโต้ เข้าเสาไกลไปอย่างเด็ดขาด

แต่ว่า บาเลนเซีย ยังไม่ยอมแพ้ มาตีเสมอเป็น 2-2 ในนาที 58 เมื่อ โรดริโก้ โมเรโน่ ยิงไปติดบล็อคกองหลังของ อาร์เซน่อล แล้วบอลแฉลบไปเข้าทาง เควิน กาไมโร่ ตามเก็บแล้วยิงตุงตาข่ายโล่งๆ เป็นปะระตูที่ 2 ของเขาในเกมนี้

อย่างไรก็ตาม อาร์เซน่อล มาแซงนำอีกครั้งเป็น 3-2 คราวนี้ ไอน์สลี่ย์​ เมตแลนด์-ไนล์ส โยกหลอก โฆเซ่ กาย่า แล้วหลุดขึ้นไปเกือบสุดเส้นหลังฝั่งขวา ก่อนเปิดไปหน้าประตูให้ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง โฉบเข้าชาร์จจ่อๆ ไม่มีเหลือ

นาที 89 ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง หลุดเดี่ยวไปยิงฝัง ให้ อาร์เซน่อล นำห่างเป็น 4-2 ทำให้ โอบาเมย็อง ทำแฮตทริกในเกมนี้ได้สำเร็จ

จบเกม อาร์เซน่อล บุกย้ำแค้น บาเลนเซีย 4-2 ทำให้ทีมปืนใหญ่ผ่านเข้าชิงชนะเลิศด้วยสกอร์รวม 2 นัด 7-3 และเป็นการเข้าชิงรายการนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 19 ปี

 

รายชื่อผู้เล่นที่ลงสนาม

บาเลนเซีย (4-4-2) : เนโต้ – คริสเตียโน่ ปิชชินี่ (การ์ลอส โซเลร์ น.56), เอเซเกล การาย, กาเบรียล เปาลิสต้า, โฆเซ่ กาย่า – ดาเนียล วาสส์, ดานี่ ปาเรโฆ่ (กัปตันทีม), ฟร็องซิส โกเกอแล็ง, กอนซาโล่ กูเอเดส (เฟร์ราน ตอร์เรส น.71) – โรดริโก้ โมเรโน่ (ซานติ มีน่า น.71), เควิน กาไมโร่

อาร์เซน่อล (3-4-1-2) : ปีเตอร์ เช็ก – โซคราติส ปาปาสตาโธปูลอส, โลร็องต์ กอสซิแอลนี่ (กัปตันทีม), นาโช่ มอนเรอัล – ไอน์สลี่ย์ เมตแลนด์-ไนล์ส, ลูคัส ตอร์เรยร่า (มัตเตโอ เกนดูซี่ น.80), กรานิต ชาก้า, เซอัด โคลาซินัช (ชโคดราน มุสตาฟี่ น.71) – เมซุต โอซิล (เฮนริค มคิทาร์ยาน น.62) – อเล็กซองด์ ลากาแซ็ตต์, ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมย็อง

ผู้ตัดสิน : แดนนี่ มัคเคลี่ (เนเธอร์แลนด์)