แต่นับตั้งแต่ มาติป หายจากอาการบาดเจ็บ กลับมาลงตัวจริงในแผงหลัง 3 นัดล่าสุด ทีมจ่าฝูงก็ไม่สามารถเก็บคลีนชีตได้อีกเลย
ยิ่งไปกว่านั้นคือ 3 เกมหลังสุดในพรีเมียร์ลีก ทีมหงส์แดงมีชอตเสียประตูจากจังหวะลูกเซตพีซทุกนัด ไม่ว่าจะเป็นเกมเฉือน คริสตัล พาเลซ 4-3 หรือเสมอกับ เลสเตอร์ และ เวสต์แฮม ด้วยสกอร์ 1-1


ในนัดล่าสุดที่บุกเยือนทีมขุนค้อน ลิเวอร์พูล เผยจุดอ่อนในเรื่องการป้องกันลูกฟรีคิก โดยเสียประตูจากลูกสูตรเคาะแล้วจ่ายสั้นของ เวสต์แฮม ซึ่งจบด้วยการทำประตูของ มิคาอิล อันโตนิโอ และเกือบจะโดนลูกที่สองก่อนหมดครึ่งแรกจากลูกสูตรฟรีคิกอีกครั้ง แต่ เดคแลน ไรซ์ โฉบเข้าโหม่งหลุดกรอบไปนิดเดียว
จากจุดอ่อนตรงนี้ที่คู่แข่งเริ่มสังเกตเห็น เชื่อว่าทีมหงส์แดงต้องเจองานหนักในการรับมือลูกโด่งมากขึ้นกว่าเดิมแน่ ในช่วง 13 นัดที่เหลือของฤดูกาล
2. “เกอิต้า” สอบไม่ผ่านซะที


ในบรรดานักเตะที่ย้ายเข้ามาสู่รั้วแอนฟิลด์เมื่อช่วงซัมเมอร์ ต้องบอกว่า นาบี เกอิต้า น่าจะเป็นผู้เล่นที่น่าผิดหวังที่สุด และน่าจะเป็นคนเดียวที่แฟนหงส์ยังไม่ประทับใจ เมื่อเทียบกับ อาลีสซง เบ็คเกอร์, เซอร์ดาน ชากิรี่ หรือ ฟาบินโญ่
กองกลางทีมชาติกินี ทำแอสซิสต์ได้เพียงลูกเดียวเท่านั้นในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ คือการจ่ายให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ใช้ความสามารถเฉพาะตัว กดประตูใส่ คริสตัล พาเลซ และสถิติการสร้างโอกาสให้เพื่อนทำประตูได้เพียง 6 ครั้ง นับตั้งแต่นัดเปิดฤดูกาล ถือว่ายังต่ำกว่ามาตรฐานที่แฟนคาดหวัง
เกอิต้า ยังช่วยเกมรับของทีมได้ไม่ดีเท่าไรนักด้วย โดย 2 เกมหลังสุดที่เสมอกับ เลสเตอร์ และ เวสต์แฮม เขาไม่สามารถเอาชนะในการเข้าปะทะคู่แข่งได้เลย และมีช็อตทำทีมเสียจังหวะในการต่อบอลขึ้นเกมรุกหลายต่อหลายครั้ง
ถึงตอนนี้ บางทีบรรดา “เดอะ ค็อป” น่าจะอยากเห็น จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม รวมถึง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน หายเจ็บกลับมาช่วยทีมไวๆ มากกว่า
และอาจรวมไปถึงแบ็กขวาอย่าง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ อีกคนด้วย เพราะถ้าหาก เจมส์ มิลเนอร์ ได้เล่นในตำแหน่งกองกลางตัว Box to Box ก็น่าจะทำประโยชน์ได้มากกว่าลงไปยืนแบ็กขวาแก้ขัด
3. ขาดทีเด็ดลูกยิงไกล


ลิเวอร์พูล ได้ประตูจากการยิงจากนอกกรอบเขตโทษเพียง 4 ประตู เท่านั้นจากทั้งหมด 56 ประตู ที่ทำได้ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ และถือว่าน้อยที่สุดในบรรดาทีมระดับท็อปซิกซ์ของตาราง
ในขณะที่คู่แข่งลุ้นแชมป์ทีมอื่นๆ มีอาวุธเด็ดจากการยิงจากแถวสอง แมนฯ ซิตี้ มีอาวุธรอบทิศทางจากทุกตำแหน่ง, แมนฯ ยูไนเต็ด มีนักเตะอย่าง ปอล ป็อกบา, ทางด้าน อาร์เซน่อล ก็มี กรานิต ชาก้า ที่ซัดได้ลุ้น หรือ สเปอร์ส มีตัวยิงไกลระดับท็อปอย่าง คริสเตียน เอริคเซ่น
แต่ทีมหงส์แดงไม่มีกองกลางที่ สามารถวิ่งขึ้นมาส่องไกลหวังผลได้จริงๆ จังๆ เลย
หากจะมีคนที่พอได้ลุ้น น่าจะเป็น เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แต่ก็สภาพร่างกายยังไม่สมบูรณ์ แถมเล่นตำแหน่งแบ็กขวาอีกต่างหาก
ด้วยเหตุนี้ คู่แข่งจึงใช้วิธี “จอดรถบัส” ถอยลงไปป้องกันต่ำในกรอบเขตโทษ ก็สร้างความลำบากให้แนวรุก ลิเวอร์พูล ได้แล้ว
4. ตัวสำรองไร้ทีเด็ด


นับตั้งแต่เกมแดงเดือดที่ เซอร์ดาน ชากิรี่ ลงมาเป็นซูเปอร์ซับ ซัดคนเดียว 2 ประตูพา ลิเวอร์พูล ชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 3-1 หลังจากนั้นมาอีก 9 นัดติดต่อกัน รวมทุกถ้วย ทีมหงส์แดงก็ไม่ได้ประตูจากผู้เล่นตัวสำรองอีกเลย
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ เจอร์เก้น คล็อปป์ ให้โอกาส ชากิรี่ ลงตัวจริงบ่อยขึ้น ในระบบ 4-2-3-1 แต่การอัดตัวรุก 4 จตุรเทพลงพร้อมกันหมด ก็ทำให้ทีเด็ดบนม้านั่งสำรองลดน้อยลงไปด้วย
เมื่อคืนนี้ ชากิรี่ อาจลงมาเป็นตัวสำรอง เพราะคนที่ลงก่อนคือ อดัม ลัลลาน่า ที่สนิมเกาะฝีเท้าไปเยอะ แต่ปีกทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ก็ช่วยอะไรไม่ได้นัก
ที่น่าเป็นห่วงคือคุณภาพของกองหน้าตัวสำรองซะมากกว่า เห็นได้ชัดว่า ดิว็อค โอริกี้ ถูกจับดองนานเกินไป จนจังหวะจบสกอร์ไม่เป็นธรรมชาติ
ซึ่งประตูเดียวที่ โอริกี้ ทำได้ในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ มาจากลูกส้มหล่นที่ จอร์แดน พิคฟอร์ด ปัดมาให้โหม่งจ่อๆ ในเกมเฉือน เอฟเวอร์ตัน 1-0
แดเนียล สเตอร์ริดจ์ ก็เป็นอีกคน ที่ได้โอกาสลงเล่นน้อยจนคุณภาพตกลงไป นับตั้งแต่เขายิงได้ในเกมกับ เชลซี เมื่อเดือนกันยายน ก็ยังทำประตูไม่ได้อีกเลยมาจนถึงทุกวันนี้
5. ความมั่นใจที่ลดลง


ก่อนขึ้นปี 2019 ลิเวอร์พูล ระเบิดฟอร์มสุดยอด ด้วยการชนะ 6 นัดติดต่อกันในพรีเมียร์ลีก โดยทั้ง 6 นัดชนะด้วยสกอร์ห่างอย่างน้อย 2 ลูก
ณ เวลานั้น ทีมหงส์แดงยังฝันถึงการคว้าแชมป์แบบ “ไร้พ่าย” ด้วยซ้ำ แต่พอเสียสถิติด้วยการบุกแพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตามติดมาด้วยการตกรอบ เอฟเอ คัพ อย่างรวดเร็ว บรรยากาศที่เคยมั่นใจว่าเจอใครก็ได้ กลับกลายเป็นเล่นแบบกดดันซะอย่างนั้น
4 เกมหลังสุดที่ผ่านมา แม้ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะพาทีมไม่แพ้เลย (ชนะ 2 เสมอ 2) แต่รูปเกมก็ไม่ได้ข่มคู่แข่งเหมือนช่วงครึ่งซีซั่นแรก
อาลีสซง เบ็คเกอร์ จากที่เคยเก็บคลีนชีตเป็นว่าเล่น กลายเป็นช่วงหลังโดนส่องประตูซะบ่อยๆ
และการที่ต้องเริ่มคำนึงถึงผลการแข่งขันมากยิ่งขึ้น เพราะช่องว่างที่โดน แมนฯ ซิตี้ ไล่จี้มาหายใจรดต้นคอ ทำให้พวกเขาไม่ได้บุกแบบน่าตื่นตาตื่นใจเหมือนที่เราเคยเห็น
น่าจับตาดูว่า หากวันพุธนี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ฉวยโอกาสแซงหน้าขึ้นไปนำจ่าฝูงได้ก่อน จะทำให้โปรแกรมวันเสาร์หน้าที่ ลิเวอร์พูล จะพบ บอร์นมัธ มีความกดดันกว่าเดิมหรือไม่
เพราะถ้าทีมเรือใบสีฟ้า พลิกสถานการณ์กลับมาเป็นผู้นำแทน แล้วฝ่ายที่สะดุดกลายเป็นหงส์แดงบ้าง การจะแซงคู่แข่งกลับไปอยู่จุดสูงสุดอีกครั้ง จะเป็นเรื่องยากกว่าตอนต้นซีซั่นแน่